ดาราที่ดังจนเป็นที่สนใจของคนทั้งประเทศได้ ถือเป็นโอกาสของแบรนด์ที่อยากใช้เป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ดังระดับนี้ แบรนด์อาจคาดหวังไกลมากไม่ได้ เพราะในเมื่อใครๆ ก็ใช้ ”ณเดชน์” แล้วจะทำอย่างไรให้แบรนด์คุณเป็นที่จดจำ

“หากมอง ”ณเดชน์” เสมือนโปรดักต์ ที่เรียนรู้ได้คือการวางแผนอย่างดี มีระบบ ขั้นตอน การนำเสนอเรื่องราวร มีการสื่อสาร ในหลากหลายแง่มุม ทุกอย่างเกิดจากกระบวนการวางกลยุทธ์สอดคลอ้องเหมาะสม ในแง่แบรนด์คือต้องคิดภาพใหญ่ และคิดต่อเนื่อง

ในช่องทางที่เข้าถึงแมสและทำให้ถูกรักได้เร็วสำหรับ ”ดารา” แล้ว “ฟรีทีวี” และ “ละคร” คือทางเลือกที่ใช่มากที่สุด และความดังของ ”ณเดชน์ คูกิมิยะ” ก็พิสูจน์สูตรนี้หลังจากอยู่บนแคตวอล์ก และพรีเซ็นเตอร์มาระยะหนึ่ง จนเมื่อ ”ช่อง 3” รับเป็นดาราในสังกัด และ ”กล้องก็รักเด็กคนนี้” ออร่าก็สาดแรงขึ้น

กรณีของมาสด้านั้น ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจากการเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์มาช่วยให้มาสด้า 2 แจ้งเกิดในตลาดรถยนต์เล็กระดับ “บีคาร์” จากการเลือกใช้ “เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ” และ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” มาแล้วอย่างสัมฤทธิ์ผล วิธีคิดและกลยุทธ์การใช้พรีเซ็นเตอร์ของมาสด้า จึงเป็นกรณีศึกษาที่ต้องติดตาม

ไม่ใช่ละครเท่านั้น แต่สิ่งที่เติมดีกรีความดัง “ณเดชน์ฟีเวอร์” คือการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้ากว่า 23 แบรนด์ภายในปีเดียว จนกูรูการตลาดต้องออกโรงเตือน จะเกิดภาวะ “ใช้เยอะจนช้ำ จำสินค้าไม่ได้” แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งเติมกระแสความแรงได้อีกให้กับณเดชน์

ถ้านึกถึงค่ายเวิร์คพอยท์ หลายคนนึกถึง “เสี่ยตา ปัญญา หม่ำ เท่ง โหน่ง ตุ๊กกี้” แต่แค่นี้ไม่พอ เพราะเวลานี้ “เสี่ยตา” อยากให้แฟนๆ รู้สึกว่าถ้านึกถึงคอนเทนต์บันเทิง “เกาหลี” ก็ขอให้นึกถึงค่าย “เวิร์คพอยท์” บ้าง

นอกจากบ้านในกรุงเทพฯ ราคา 50 ล้านบาท การสะสมรายได้ของเอ ศุภชัย เท่าที่เขาเปิดเผยได้ จะอยู่ในรูปเงินสด และซื้อที่ดิน เงินอีกส่วนจะหมดไปกับการซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม Hermes เป็นอีกความคลั่งไคล้ที่เขามีไม่ต่ำกว่า 20 ใบ

ดาราดังระดับซุป'ตาร์ของเมืองไทยเวลานี้ ล้วนมาจากฝีมือของนักปั้นมืออาชีพ “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” ทั้งสิ้น ความดังไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญ แต่ได้ผ่านกระบวนการคิด จับความต้องการของตลาดได้อยู่หมัดทำให้“ดารา” กับ “สินค้า” กลายเป็นของคู่กัน นับเป็นโมเดลที่น่าศึกษายิ่ง