ที่เวที 4.1 ซูเปอร์สตาร์คอนเสิร์ต แม้เอไอเอสจะจ่ายเงินค่าเป็นสปอนเซอร์หลักที่ 10 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ “ณเดชน์” มาร้องเพลง “อุ่นใจ” ที่แต่งขึ้นใหม่ในแผนรีแบรนด์บนเวทีครั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าหากร้อง “ต้องจ่ายเพิ่ม”

หล่อแล้ว หากได้โอกาสเป็นพระเอกละครแล้ว ”ออร่า” ก็จะเจิดจรัส คำอธิบายนี้เหมาะสมสำหรับ ”ณเดชน์ คูกิมิยะ” ที่เพียงแค่ละครเรื่องที่ 2 เขาก็ได้เป็นพระเอกเต็มตัว ถือว่าเป็นนักแสดงที่มี ”ของ” หรือในวงการบันเทิงเรียกกันว่า ”มีองค์”

ความดังของ “ณเดชน์” ในระดับเมกะซุป'ตาร์เวลานี้ เอ ศุภชัยบอกว่า เป็นอุบัติเหตุแต่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ และไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดได้บ่อย หรืออาจไม่เกิดขึ้นอีกในรอบอีกหลายปีข้างหน้า พูดง่ายๆ ไม่ใช่ใครที่จะทำได้อย่างณเดชน์

ดาราที่ดังจนเป็นที่สนใจของคนทั้งประเทศได้ ถือเป็นโอกาสของแบรนด์ที่อยากใช้เป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ดังระดับนี้ แบรนด์อาจคาดหวังไกลมากไม่ได้ เพราะในเมื่อใครๆ ก็ใช้ ”ณเดชน์” แล้วจะทำอย่างไรให้แบรนด์คุณเป็นที่จดจำ

“หากมอง ”ณเดชน์” เสมือนโปรดักต์ ที่เรียนรู้ได้คือการวางแผนอย่างดี มีระบบ ขั้นตอน การนำเสนอเรื่องราวร มีการสื่อสาร ในหลากหลายแง่มุม ทุกอย่างเกิดจากกระบวนการวางกลยุทธ์สอดคลอ้องเหมาะสม ในแง่แบรนด์คือต้องคิดภาพใหญ่ และคิดต่อเนื่อง

กรณีของมาสด้านั้น ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจากการเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์มาช่วยให้มาสด้า 2 แจ้งเกิดในตลาดรถยนต์เล็กระดับ “บีคาร์” จากการเลือกใช้ “เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ” และ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” มาแล้วอย่างสัมฤทธิ์ผล วิธีคิดและกลยุทธ์การใช้พรีเซ็นเตอร์ของมาสด้า จึงเป็นกรณีศึกษาที่ต้องติดตาม

ไม่ใช่ละครเท่านั้น แต่สิ่งที่เติมดีกรีความดัง “ณเดชน์ฟีเวอร์” คือการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้ากว่า 23 แบรนด์ภายในปีเดียว จนกูรูการตลาดต้องออกโรงเตือน จะเกิดภาวะ “ใช้เยอะจนช้ำ จำสินค้าไม่ได้” แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งเติมกระแสความแรงได้อีกให้กับณเดชน์