"ทักษิณ" ย้ำจีดีพีปีหน้าโต 8% ส่วนปี 48 โตเพิ่มเป็น 10% ชี้ปีหน้าทุนนอกทะลักเข้าไทยแนะแบงก์ชาติ(ธปท.)
เกาะติดดูแลบาทไม่ให้แข็งเกินไปปี 48 ดอกเบี้ยเงินฝากโงหัวแน่แม้ไม่มาก ขณะที่ปีหน้ายังต้องจัดงบฯขาดดุลต่ออีก
เพื่อกระตุ้นการลงทุนเพิ่มต่อเนื่อง ก่อนเข้าสู่งบฯสมดุลปี 48 คาดภายใน 5 ปีข้างหน้าจีดีพี-มาร์เกตแคปตลาดหุ้นไทยเกิน
200,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 8 ล้านล้านบาท)คิดเป็น 2 เท่าจากปัจจุบัน ด้านไอเอ็มเอฟยอมรับอีกรอบ
ชี้นำเศรษฐกิจไทย-ภูมิภาคผิดพลาดจนเศรษฐกิจดิ่ง
วานนี้ (13 พ.ย.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี
2547 ในงานครบรอบ 25 ปี สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจว่า หลักการบริหารเศรษฐกิจประเทศยึดถือทฤษฎีของความสมดุลเป็นสำคัญ
โดยดูว่าอะไรที่ขาดก็จะดึงขึ้นมา ส่วนอะไรที่มากไปจะกดลงเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา วิกฤตเศรษฐกิจเหมือนเช่นที่ผ่านมา
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า การบริหารประเทศ รัฐบาลมองปัญหา 3 ด้านหลักคือ 1.สร้างความ
เชื่อมั่นให้กลับคืนมา ให้เกิดการยอมรับประเทศไทยมากขึ้น 2.สร้างความสมดุลในการพัฒนาภาคเมืองและชนบท
โดยใช้แนวทางเศรษฐกิจ 2 ทาง (Dual track economic policy) ให้โอกาสภาค ชนบทเข้าถึงแหล่งทุนได้
ด้วยมาตรการส่งเสริมต่างๆ ควบคู่กับการส่งเสริมการส่งออก และ 3.สร้าง ราคาสินทรัพย์ประเทศ
ที่ราคาตกต่ำเกินจริงให้กลับคืนมาอยู่ในระดับที่ควรจะเป็น ด้วยการส่งเสริมให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้น
และฟื้นฟูตลาดหุ้น ที่ดัชนีปรับตัวลงมากให้กลับขึ้นมา โดยผลักดันรัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนที่ดีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ปี 48 ศก.โต 10% แบบสมดุล
"ปี2547 ผมได้วางตั้งเป้าว่าเศรษฐกิจจะโต 8% ซึ่งขอยืนยันว่า สามารถทำได้
เป็นเรื่องหมูๆ และ ในปี 2548 ไม่อยากจะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะโต 10% เดี๋ยวจะตกใจกัน
แต่ไม่ต้องห่วง เศรษฐกิจโต 10% แล้วจะไม่สมดุล ผมจะต้องทำทุกอย่างให้สมดุล ผมดูตัวเลขทุกตัว
ไม่ว่าจะเป็นหนี้สาธารณะ เงินคงคลัง แม้แต่การนำเข้า-ส่งออก ที่จะต้องพยายามไม่ให้เกิดการขาดดุลทางการค้า
เพราะโดย หลักของการค้าขายจะต้องมีกำไร" นายกฯกล่าว
ด้านมหภาครัฐบาลยังให้ความสนใจ และติด ตามดูมาตลอด ทั้งตัวเลขหนี้สาธารณะ ตัวเลขทุน
สำรองทางการ ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งขณะนี้ ตัวเลขต่างๆ ดีทั้งหมด การเก็บรายได้ของประเทศปีงบฯ2546
สูงกว่าประมาณการถึง 10% ทำ ให้ฐานะงบประมาณวันนี้เป็นงบเกินดุล แต่ปี 2547 จะตั้งงบขาดดุลอีกรอบ
เนื่องจากภาคการลงทุนเอกชนยังไม่เข้มแข็ง จึงต้องตั้งงบฯกลางปี เพื่อให้เป็นงบประมาณแบบขาดดุล
ปี 2548 ไม่จำเป็นต้องทำงบประมาณแบบขาดดุลอีกต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยวันนี้ ถือ ว่ามีเสถียรภาพมากที่สุดประเทศหนึ่ง
โดยเฉพาะด้านการเมือง ทำให้ความเชื่อมั่นต่อประเทศสูง วันนี้ เงินจะไหลเข้าประเทศอย่างมาก
จนธนาคารแห่งประเทศไทยต้องประคองไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก
แต่ผู้ส่งออกเองก็ต้องปรับตัวด้วย
ให้สมคิดช่วยสร้างผู้ประกอบการใหม่ ๆ
"สำหรับปีหน้าเศรษฐกิจจะโต 8% ตามที่บอกไว้ ปีต่อไปก็จะเบรกไม่อยู่ เพราะสิ่งที่จะทำในปี
2547 ซึ่งจะเชื่อมไปยังปี 2548 นั้น จะเป็นสิ่งที่แรง มาก และจะทำให้ระบบแข็งแกร่ง"
นายกฯกล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวอีกว่ารัฐบาลกำลังส่งเสริมประชาชนระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่
ของประเทศที่ทำการผลิต ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ต่อเนื่อง
โดยมอบให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีช่วยดูแล โดยปีหน้าจะเริ่มเดินหน้าเรื่องการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน
และปฏิรูปที่ทำกิน รวมทั้งจะปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชนอย่างจริงจัง และจะผลักดันราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น
อีก 5 ปีจีดีพี-ตลาดหุ้นเกิน 8 ล้านล้านบาท
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลจะอาศัยการเจรจาเปิดการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ
เพื่อ ให้สามารถขายสินค้าได้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจใต้ดิน ที่มีอยู่อย่างน้อย 1 ใน
3 ของเศรษฐกิจบนดิน ต้อง นำขึ้นมาอยู่บนดิน และทำให้ธุรกิจที่ไม่เคยเสียภาษี เสียภาษีให้ถูกต้อง
ภายใน 5 ปีจากนี้ รัฐบาลจะทำ ให้จีดีพีประเทศเกิน 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ
8 ล้านล้านบาท) เพิ่มจากปัจจุบันที่ประมาณ 5 ล้านล้านบาท ทำให้ทุนสำรองทางการ เกิน
60,000 ล้านดอลลาร์ โดยไม่รวมเงินฝากต่างประเทศของแบงก์พาณิชย์ จะทำให้หนี้ต่างประเทศ
ต่ำกว่าทุนสำรองทางการ ทำให้ตลาดหุ้นโต โดยมีมูลค่าตลาด (มาร์เกตแคป) เท่าจีดีพีประเทศ
ส่วนอัตราดอกเบี้ยปี 2548 จะขยับขึ้น แต่ไม่ มาก โดยสภาพคล่องในระบบตลาดเงินไทย
จะมีความพอดี ดอกเบี้ยจะไม่อยู่ในอัตราสูงมากเหมือน อดีต ขณะที่ความสามารถการแข่งขันของประเทศจะดีมาก
แนะพัฒนาชนบท-เอสเอ็มอีจริงจัง
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่าคำว่าทักษิโณมิกส์
แปลว่าเป็นศิลปะการบริหารเศรษฐกิจ โดยนโยบาย และแนวทางที่นายกรัฐมนตรีพูดนั้น ส่วนตัวเห็นด้วย
แต่จะสรุปว่าดีหรือไม่ คงตอบไม่ได้ ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่
เช่น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ต้องใช้นโยบายการเงินการคลังจะมีความพิเศษอยู่บ้าง
คือใช้สถาบันการเงินเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจ แนวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาชนบท
กับพัฒนาภาคธุรกิจเอสเอ็มอี เป็นแนวทางที่ต้องปฏิบัติจริงจัง รัฐบาลต้องเพิ่มโอกาสให้คนที่มีโอกาสน้อย
ไม่ใช่เรื่องทุนหรือเรื่องเงินอย่างเดียว แต่ต้องมีคุณภาพขยายผลผลิต หรือเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต
ซึ่งต้องมาจากพื้นฐานการศึกษา
นอกจากนี้ ต้องกระจายรายได้เข้าถึงคนด้อย โอกาสมากที่สุด ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาการบริหารประ-เทศของพ.ต.ท.ทักษิณ
ส่วนใหญ่จะใช้กลไกรัฐเป็น เครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งใช้เศรษฐกิจนอกงบประมาณ
เช่นล่าสุดจะใช้มาตรการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน
IMF ย้ำตัวเองผิดคราววิกฤตเอเชีย
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายชาร์ลส์ อะดัมส์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนการเงิน
ระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ประจำเอเชียและแปซิฟิกกล่าวระหว่างเข้าร่วมการสัมมนาที่กรุงเทพฯ
วานนี้ว่า ไอเอ็มเอฟยอมรับว่าผิดพลาดในการรับมือ กับวิกฤตการเงินเอเชียปี 2540-2541
อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าที่พลาดนั้นพลาดตรงไหน
"บางคนบอกว่าเราปล่อยกู้มากเกินไป บางคน บอกว่าเราปล่อยกู้น้อยเกินไป บางคนบอกว่าเรากำหนดเงื่อนไขเข้มงวดเกินไป
บางคนบอกว่าเงื่อน ไขเหล่านั้นยังไม่เข้มงวดเพียงพอ" นายชาร์ลส์ อะดัมส์ บอกและว่าเวลานี้กำลังเริ่มมีความคิดเห็น
พ้องกันเป็นฉันทมติปรากฏออกมาแล้ว โดยอยู่ใน บริบทที่ว่าการปล่อยกู้ของไอเอ็มเอฟให้แก่
3 ชาติเอเชีย คือ ไทย, เกาหลีใต้, และอินโดนีเซียในคราว นั้น ได้มีการกำหนดเงื่อนไขหลายประการซึ่งไม่มีความจำเป็น
และกระทั่งเป็นเงื่อนไขซึ่งไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย
ผลจากความผิดพลาดคราวนั้น เวลานี้ทางไอเอ็มเอฟจึงกำลังพยายามปรับลดเงื่อนไขที่จะกำหนดต่อประเทศผู้กู้ในอนาคต
โดยคราวนี้ไอเอ็ม เอฟจะต้องคำนึงถึงเหตุผลความเหมาะสมในเวลากำหนดเงื่อนไขใดๆ ส่วนเรื่องวงเงินกู้ก็จะต้องมอง
หาทางสายกลาง ไม่ให้มากเกินไปและก็ไม่ให้น้อยเกินไป
ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานเอเชียและแปซิฟิกของไอเอ็มเอฟกล่าวต่อไปว่า อีกบทเรียนหนึ่งของทางกองทุนก็คือ
จะต้องพยายามสกัดปัญหาเอาไว้ให้อยู่ภายใน 1 ประเทศ แล้วแก้ไขโดย เร็ว ไม่ปล่อยให้แพร่ลามไปสู่ประเทศอื่นๆ
และบท เรียนสำคัญที่สุดที่ไอเอ็มเอฟเรียนรู้ก็คือ แนวรบแรกในการป้องกันได้แก่ การต้องหาทางทำให้วิกฤต
ไม่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ทีแรก เพราะทันทีที่เกิดวิกฤตก็จะกลายเป็นความวุ่นวายอลหม่าน
และสิ้นค่าใช้จ่ายสูงมาก