โชบุน ซึกิกาว่า โตเกียวคอนเนคชั่นในเชียงใหม่


นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2533)



กลับสู่หน้าหลัก

เมื่อปีที่แล้วโชบุนเป็นนักธุรกิจพ่อม่ายชาวญี่ปุ่นผู้เดินทางมาแสวงหาโชคที่เชียงใหม่ ที่ซึ่งขณะนี้อำนวยโชคให้เขาได้ร่ำรวยและมีความสุขมากกว่าการเป็นเจ้าของสตูดิโอเล็กๆในโตเกียว ทั้งๆที่พื้นฐานครอบครัวของโชบุนนั้นเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในสิบคนของเศรษฐีแห่งเกาะชิวกิว พ่อของโชบุนเป็นเจ้าของโรงพยาบาลที่เมืองนางาซากิซึ่งเป็นบ้านเกิด โชบุนเกิดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2487 เมื่อเขาอายุได้สองขวบได้เกิดระเบิดปรมาณูครั้งร้ายแรงที่สุดในโลกที่เมืองนี้ "ดังนั้น ทุกวันนี้ผมจึงเป็นคนอาภัพเส้นผม ก็เพราะเหตุนี้กระมัง?" โชบุนพูดด้วยอารมณ์ขันแฝงขณะเล่าชีวิตให้ฟัง

โชบุนเรียนจบไฮสกูลที่นางาซากิ และเข้ามาเรียนต่อที่กรุงโตเกียวระยะหนึ่งเขาก็หันเหไปเรียนหลักสูตรการบริหารธุรกิจระยะสั้น 10 เดือนที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ไปหาประสบการณ์ที่สต็อกโฮล์มประเทศสวีเดนสักพักหนึ่ง ก่อนจะบินกลับมาญี่ปุ่นเพื่อเริ่มธุรกิจตัวเองโดยเปิด สตูดิโอรับจ้างถ่ายภาพให้เอเยนซี่โฆษณา แต่หลังจากการหย่าร่างในชีวิตคู่ โชบุนได้เริ่มแสวงหาหนทางชีวิตใหม่ในโลกกว้าง และราวปี 2525 เขาก็ได้เดินทางมาที่ประเทศไทยตามคำชักชานของเพื่อนที่ทำงานในกรุงเทพฯ ซึ่งแนะนำให้เขาไปเที่ยวพักผ่อนที่เชียงใหม่

"หลังจากรู้จักเชียงใหม่ได้ 3 วัน คนไทยคนแรกที่ผมรู้จักคือ เล็ก (เดชพล เชวงศักดิสงคราม หุ้นส่วนคนไทยคนสำคัญของกลุ่มแกรมไฟว์คอร์เปอเรชั่น) เราถูกชะตากันมากและไดคิดทำธุรกิจด้วยกันโดยค้ากระเทียมเป็นครั้งแรก ตอนนั้นผมมีทุนเริ่มแรกประมาณ 5-6 ล้านบาท" โชบุนเล่าให้ฟัง

แต่ในปี 2528ธุรกิจค้ากระเทียมของโชบุนก็ต้องพับฐานไปเพราะขาดทุนมหาศาลจากการเก็งตลาดผิด โชบุนต้องการจะรอขายในราคาสูงถึงกิโลละ 75 บาท ขณะที่ราคาขายกระเทียมทั่วไปราคากิโลละ 55 บาท ทั้งๆที่เขารับซื้อมาด้วยต้นทุนเพียงกิโลกรัมละ 20 บาท เท่านั้น ในที่สุดความไม่แน่นอนก็เกิดขึ้น ราคากระเทียมกลับตกลงมาเหลือแค่กิโลละ 12 บาทเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้โชบุนกล่าวว่า "การค้ากระเทียมค่อนข้างเสี่ยงมาก"

อีกครั้งหนึ่งที่เขาต้องกลับญี่ปุ่นเพื่อนำทุนก้อนใหม่จากน้องชายชื่อ "โซโห" ซึ่งปัจจุบันร่ำรวยจากกิจการภัตตาคารในโตเกียวถึง 9 แห่ง มาลงทุนที่เชียงใหม่ ด้วยเงินทุนใหม่ครั้งนี้โชบุนได้จับการค้าส่งออกพลอยและหยกแถบแม่สาย จังหวัดเชียงราย เขาทำจนประสบความสำเร็จและไดขยายไปค่านมผึ้ง ซึ่งเป็นสินค้าที่ชาวญี่ปุ่นนิยมบริโภคเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง นมผึ้งโดยธรรมชาติมีลักษณะเป็นครีมของเหลวที่ผึ้งทหารคายมาป้อนนางพญาผึ้ง

"ผมไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับนมผึ้งมาก่อน แต่เพื่อนผมที่ญี่ปุ่นชอบฝากซื้อ บ่อยเข้าผมก็เห็นลู่ทางการส่งออก เพราะคนเดี๋ยวนี้สนใจสุขภาพมากขึ้น ทำอยู่ได้สักสองปีเราก็ขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศที่ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และในเดือนหน้านี้จะขยายไปยังสหรัฐอเมริกาโดยไปเปิดที่นิวยอร์กและนิวเจอร์ซี่ และต่อไปจะไปเปิดที่ฮาวายและปารีสด้วย" โชบุนเล่าให้ฟัง

และเมื่อกิจการค้าเริ่มดำเนินไปได้ดีทั้งการส่งออกนมผึ้งและจิวเวลรี่ นับตั้งแต่ปี 2531 ราวเดือนมีนาคมโชบุนได้ตั้งบริษัทแกรนด์ไฟว์ คอร์ปเปอเรชั่นขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียนสองล้านบาทเป็นบรษัทแม่ที่ดูแลบริษัทในเครืออีก 18 แห่งที่ได้เปิดตามมาทั่วเชียงใหม่ เช่น บริษัทเชียงใหม่รอแยล เจลลี่ซึ่งส่งออก นมผึ้งแก่ตลาดญี่ปุ่นเป็นหลัก,บริษัทโชบุนแอนด์สิทธิชัย ซึ่งร่วมลงทุนกับผู้จัดการไนท์บา-ซาร์ เพื่อค้าและส่งออกผ้าไหม, บริษัทเชียงใหม่คังโคทัวร์ ซึ่งทำกิจการทัวร์ท่องเที่ยว โดยมีสำนักงานใหญ่ที่โตเกียว, บริษัทเซฟรอน คอร์เปอเรชั่น(ประเทศไทย) ซึ่งขายอาหารและเครื่องดื่ม, บริษัท โซโห(ประเทศไทย) ซึ่งเป็นกิจการของน้องโชบุนที่มาลงทุนด้านภัตตาคารในเชียงใหม่, บริษัทลักกี้เซเว่นซึ่งจดทะเบียนด้วยทุนล้านบาท จะเปิดทำซูปเปอร์มาร์เก็ตในลักษณะ CONVENIENT STORE ขายตลอด 24 ชั่วโมง,บริษัททริคิ ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาททำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

การเติบโตอย่างรวดเร็วของแกรนด์ไฟว์กรุ๊ปซึ่งมีโชบุนและเดชพล เชวงศักดิ์สงครามเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทำให้เป็นที่จับตาแก่นักธุรกิจไทยในเชียงใหม่มากในระยะเริ่มต้น ซึ่งเรื่องนี้โชบุนเล่าให้ฟังว่า

"ธุรกิจเราร้อยร้อยล้านบาท และเรามีหุ้นส่วนคนไทยและต่างชาติประมาณ 15 คน บริษัทของเราที่มีทั้งหมด 19 แห่งที่ยังไม่ได้กำไรและคนไทยก็ถือหุ้นใหญ่ 51 % การที่เราเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพราะมีนักลงทุนจากญี่ปุ่นมาร่วมกับเรามาก โดยผมจะเป็นคนติดต่อนักลงทุนจากญี่ปุ่น ส่วนเดชพลจะเป็นผู้ติดต่อกับนักลงทุนฝ่ายไทย เรามีหลักฐานทุกอย่างที่ใครสงสัยก็สามารถเช็คได้ที่สถานทูตหรือแบงค์ ผมใช้บริการของแบงค์ไทยพาณิชย์สาขาศรีนครพิงค์เป็นหลัก"

โชบุนยังกล่าวอีกว่าการลงทุนโดยคอนเนกชั่นระหว่างโชบุนกับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นนั้น จะเน้นอยู่ในธุรกิจขนาดเล็ก ที่มีลักษณะการค้าปลีกมากกว่าจะเป็นลักษณะผู้ผลิตหรือโรงงานขนาดใหญ่ และบทบาทของโชบุนและเดชพลหุ้นที่ดิน,ด้านกฎหมายการลงทุนและการบริหารมากกว่า โดยให้คนไทยถือหุ้น 51% และชาวญี่ปุ่นถือ 49% และการซื้อที่ดินก็จะถือในสนามของบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาดังกล่าว

"ธุรกิจหลักของเราคือเน้นด้านการส่งออกนมผึ้ง และเครื่องประดับอัญมณีเป็นหลัก และเพิ่งเริ่มจะทำทัวร์สำหรับชาวญี่ปุ่นได้แค่ปีกว่านี้เองซึ่งแนวโน้มนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นจะเข้ามาในเมืองไทยเป็นทวีคูณทุกปี ผมกล้าพูดได้เลยว่าผมเป็นคนหนึ่งที่นักธุรกิจญี่ปุ่นเขาเชื่อถือ และผมจะเป็นคนแนะนำลู่ทางการลงทุนที่ดีๆ ให้แก่เขาโดยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาการบริหาร การจัดการบริษัทในระยะเริ่มแรก (BUSINESS CONSULTANT) และเราจะให้ความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจในเมืองไทยว่าต้องให้ความยุติธรรมและเข้าใจ คนไทยเป็นคนฉลาดที่ไม่พูดมากถ้าหากไปบีบบังคับมากจะทำให้ผิดใจกันเปล่าๆ" โชบุนเล่าให้ฟัง

การเป็นสะพานเชื่อมโยงทางธุรกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ทำให้ทัศนะการมองการลงทุน ทั้งด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจการค้าที่ดินในเชียงใหม่ตามสายตานักธุรกิจญี่ปุ่นอย่างโชบุน เป็นเรื่องที่น่าสนใจ โชบุนให้ความเห็นว่า

"ผมคิดว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุน และการท่องเที่ยว ปัจจุบันไต้หวัน,ฮ่องกงและญี่ปุ่น เริ่มเดินทางเข้ามาตั้งโรงงานที่นิคมอุสาหกรรมลำพูนมากขึ้น โดยมีอีก 15 บริษัทที่ตกลงใจจะมาเพิ่มอีก เช่น อุตสาหกรรมคอนเดนเซอร์, เซรามิก และชุดเสื้อผ้าเครื่องหนัง และค่าแรงงานก็ถูกกว่ากรุงเทพฯ 50% ซึ่งปัจจุบันกรุงเทพฯ ที่ดินราคาสูงมากและค่าแรงงานก็เพิ่มสูงขึ้น แต่ที่เชียงใหม่เพิ่งจะเริ่มเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินมากในช่วง 2 ปีมานี้ แต่คิดว่าก็ยังน่าลงทุนมากกว่ากรุงเทพฯ ซึ่งเต็มไปด้วยมลพิษและวุ่นวาย"

ส่วนทางด้านการท่องเที่ยว ในปีที่แล้วจำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่เข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นถึง 21% จากตัวเลขปี 2530 ซึ่งมีชาวญี่ปุ่นมา 449,086 คน เป็น 546,967 คน และจำนวนนี้มีผู้ที่เข้ามาเที่ยวเชียงใหม่ 33,165 คน โดยเฉลี่ยคนหนึ่งจะใช้จ่ายค่าอาหารและที่พักวันละประมาณ 4,224 บาท ทำให้ปีที่แล้วรายได้รวมจากนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่เข้าประเทศไทยสูงถึง 10,583ล้าน

"ช่วงฤดูกาลที่จะมีนักท่องเที่ยวมาทัวร์เชียงใหม่มากราวเดือนกรกฎาคม จนถึงธันวาคม นอกนั้นก็มีม้าเรื่อยๆ ไม่เงียบเหงาแม้จะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวก็ตาม ไม่เหมือนเมื่อ 5 ปีก่อนที่พอถึงหน้า LOW SEASON จะเงียบเหงามาก แต่ทุกวันนี้เครื่องบินเต็มทุกเที่ยวบินและโรงแรมในเชียงใหม่ก็เต็มไปด้วย ปัญหาด้านราคาห้องพักโรงแรมไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเขาสามารถจ่ายได้ในราคาตั้งแต่ห้องละ 1,200-2,000 บาทต่อคืน ค่าใช้จ่ายสำหรับแขกของคังโคทัวร์ซึ่งเป็นอีกธุรกิจหนึ่งของเรา เท่าที่สังเกตเขาจะจ่ายค่าอาหารและที่พักรวมทั้งของที่ระลึกประมาณ 50,000-60,000 บาท ต่อการพัก 5 วันต่อคน ผมคิดว่าอนาคตการท่องเที่ยวของเชียงใหม่ไปได้ดีมาก" โชบุนให้ทัศนะ

วันนี้อาณาจักรแกรนด์ไฟว์คอร์เปอเรชั่น ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ของกลุ่มประมาณ 150 ล้านบาท โดยมีรายได้หลักจากยอดส่งออกนมผึ้ง 15 ล้านบาทในปีที่แล้ว และยอดขายจิวเวลรี่ประมาณ 12 ล้านบาท โชบุนได้สร้างชื่อเสียงของเขาขึ้นมาได้เติบใหญ่ในเชียงใหม่ และกำลังจะแตกกิ่งก้านสาขาออกไปสู่ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็ก ระหว่างประเทศนับว่าเป็นการมองเห็นโอกาสช่องว่างทางธุรกิจที่ทำให้โชบุนก้าวขึ้นมาสู่จุดนี้ได้ และน่าจับตามองการลงทุนใหม่ๆ ในอนาคตที่กลุ่มนี้กำลังจะรุกคืบสู่กรุงเทพฯ ว่าโตเกียวคอนเนคชันของโชบุนจะสร้างอะไรให้เกิดขึ้นในธุรกิจเมืองไทยบ้าง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.