"สวนอุตสาหกรรม โรจนะ"ฉวยจังหวะตลาดอสังหาฯบูมสุดๆ เตรียมแตกไลน์ทำธุรกิจคอนโดมิเนียมหรู
บริเวณสุขุมวิท 41 ใช้เงินลงทุน 1,200 ล้านบาท คาดเปิดโครงการและก่อสร้างในไตรมาสแรกปีหน้านี้
ขณะเดียวกัน เตรียมร่วมทุนซื้อโรงไฟฟ้าในจีน ขนาดกำลังผลิต 80-100 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทำดิวดิลิเจนซ์
คาดสรุปผลได้ในกลางปี 2547 ส่วนผลกำไรปีนี้อยู่ที่ 400 ล้านบาท โตกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง
50-100 ล้านบาท
นายจิระพงษ์ วินิชบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะจำกัด (มหาชน)
(ROJANA) เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมแตกไลน์ธุรกิจทำโครงการอาคารชุดที่พักอาศัยเพื่อเช่าหรือขาย
โดยเน้นกลุ่มลูกค้าระดับบน บริเวณ สุขุมวิท 41 ในนามบริษัท โรจนะ พร็อพเพอร์ตี้
ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ROJANA ถือหุ้นทั้งหมด คาดว่าใช้เงินลงทุน 1,200 ล้านบาท
คาดว่าจะก่อสร้างและเปิดจองขายในไตรมาสแรกของปี 2547
โครงการดังกล่าวจะใช้เวลาก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 2 ปี ทำให้บริษัทรับรู้รายได้ตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าว
โดยประเมินว่า ROJANA จะรับรู้กำไรจากโครงการ อาคารชุดที่พักอาศัยในปี 2547 ประมาณ
200 ล้านบาทและปีถัดไป อีก 200 ล้านบาท
สาเหตุที่ตัดสินใจลงทุนทำคอนโดมิเนียมดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่ากำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์
ตลาดบนค่อนข้างมาก ขณะที่เศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ายังไปได้จึงเป็นโอกาสที่ดีในการหันมา
ทำธุรกิจคอนโดฯระดับบน
ซึ่งขณะนี้บริษัทฯเตรียมซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวขนาด 2.5 ไร่ ราคาประมาณ 300
ล้านบาท เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการคอนโดฯ โดยแต่ละยูนิตมีขนาดตั้งแต่150-350
ตรม. ราคาเสนอขาย 7 หมื่น/ตรม.
แหล่งเงินทุนที่ใช้ในโครงการ นั้น มาจากกระแสเงินสดในบริษัทประมาณ 400 ล้านบาท
ที่เหลือมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงินในประเทศ
นายจิระพงษ์ คาดว่า หลังจากปิดโครงการ อาคารชุดที่พักอาศัยในปี 2549 บริษัทฯยังไม่มีแผนจะลงทุนโครงการใหม่เพิ่มเติม
เพราะต้องการรอดูสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนั้น และทำเลโครงการจะต้องดีด้วย
บริษัท โรจนะ พร็อพเพอร์ตี้ มีทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 4,000,000
หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท
เล็งซื้อโรงไฟฟ้าในจีน
นายจิระพงษ์ กล่าวถึงการลงทุนนอกเหนือ จากโครงการคอนโดฯในปี 2547 ว่า บริษัทฯเตรียมเข้าไปลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน
อาทิ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยจะเข้าไปซื้อโรงไฟฟ้าที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่เจ้าของโครงการมีปัญหาทางการเงินหรือนโยบาย
บริษัทแม่ต้องการให้ถอนการลงทุน เนื่องจากเห็น ว่าธุรกิจดังกล่าว ROJANA มีประสบการณ์บริหารโรงไฟฟ้าอยู่แล้ว
จึงน่าจะเป็นโอกาสดีในการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ
"ธุรกิจโรงไฟฟ้า หากซื้อได้ราคาต่ำ ได้ รีเทิร์นค่อนข้างดี โดยเน้นซื้อโรงไฟฟ้าของยุโรป
และสหรัฐฯที่ลงทุนไว้แล้ว แต่มีปัญหาทางการเงิน ทำให้ต้องขายธุรกิจนี้ไป เราเองก็มีประสบการณ์
บริหารโรงไฟฟ้าอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้า ไปดูแลโรงไฟฟ้า ซึ่งการไปลงทุนครั้งนี้จะร่วมกับพันธมิตรที่ถือหุ้นอยู่โรจนะ
พาวเวอร์อยู่แล้ว"
ขนาดโรงไฟฟ้าที่จะเข้าไปลงทุน 80-100 เมกะวัตต์ ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าของจีนระยะยาว
ซึ่งเหมือนกับธุรกิจไฟฟ้าที่บริหารงานอยู่ ทำให้มีรายได้และกำไรแน่นอนในระยะยาว
หากการเข้า ไปตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน (ดิวดิลิเจนซ์) เป็นที่น่าพอใจ คาดว่าจะลงนามสัญญาซื้อขายโรงไฟฟ้าได้ภายในไตรมาส
2/2547
ด้านแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการทำธุรกิจโรงไฟฟ้านั้น จะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน
รวมทั้งบริษัทฯอาจตัดสินใจออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในเกณฑ์ที่สูงเกินไป
หลังจากก่อนหน้านี้ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ (ROJANA-W1)
จำนวน 300 ล้านหน่วย จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ในสัดส่วน 2 หุ้นสามัญต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ
ราคาเสนอขาย 0 บาท ต่อหน่วย อัตราการใช้สิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้
1 หุ้น ราคาใช้สิทธิ 3.00 บาท ต่อหุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ทำให้ทุนจดทะเบียนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 600 ล้านบาทเป็น 900 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่เคยตั้งไว้เพียง
300-350 ล้าน บาท เนื่องจากยอดขายที่ดินได้เพิ่มสูงขึ้น รับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าส่วนขยายจากเดิม
122 เมกะวัตต์ เป็น 165 เมกะวัตต์และเงินปันผลจากการเข้าไปถือหุ้นในบมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล
คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) และปี 2547 บริษัทฯจะมีกำไรสุทธิโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากรับรู้รายได้ในส่วนของโครงการอาคารชุดที่พักอาศัยและนิคมอุตสาหกรรมที่ฉางโจว
ประเทศจีน