"BT"ฟุ้งบริหารกองทุนฯเจ๋งเพิมสินทรัพย์-ผลตอบแทน


ผู้จัดการรายวัน(7 พฤศจิกายน 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

ไทยธนาคารโชว์บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ผลตอบแทนสูงถึง 13.4% จากมูลค่ากองทุนทั้งหมดในพอร์ต 3.08 หมื่นล้าน บาท และเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 14 % ด้านสำนักวิจัยและวางแผน ชี้การลอยตัวค่าเงินหยวนจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดเศรษฐกิจแบบฟองสบู่ในจีน ขณะเดียว กันจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคสะดุดลงด้วย

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด เปิดเผย ถึงการดำเนินธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปี 2546 ว่าจากข้อมูลแสดงการจัดการกองทุนแยกตามรายบริษัทจัดการปี 2546 ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ซึ่งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จดทะเบียน ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2546 มีมูลค่าทั้งสิ้น 271,397.67 ล้านบาทนั้น ธนาคารไทยธนาคารมีจำนวนเงินกองทุนทั้งสิ้น 30,852.14 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาดคิดเป็น 11.37% ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นมาตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา

"ธนาคารสามารถบริหารกองทุนให้ได้ผลตอบแทน ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 สูงถึง 13.4% เมื่อเทียบ จากปีที่แล้วอยู่ที่ 8-10% โดยกองทุน ที่มีผลตอบแทนสูงสุดอยู่ในระดับ 17-18% จากกองทุนทั้งหมดที่ธนาคารบริหาร 50 กองทุน สำหรับ บริษัทนายจ้างที่ธนาคารรับบริหารกองทุนให้จำนวน 600 ราย ซึ่งมีลูกจ้างที่เป็นสมาชิกในกองทุนจำนวน 100,000 ราย"

ทั้งนี้ จากผลประกอบการในการบริหารเงินกองทุนให้แก่ลูกค้า โดยไม่มีการรับโอนย้ายกองทุนเพิ่ม ขึ้นในระหว่างปี จะเห็นได้ว่าไทยธนาคารเป็นธนาคารที่สามารถเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV)ได้สูงสุดในกลุ่มบริษัทจัดการกองทุน 10 อันดับแรก หรือในกลุ่มบริษัทจัดการกองทุนที่มีกองทุนอยู่ในความดูแลสูงกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ด้วยกัน โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของ NAV สูงถึง 14% เมื่อเทียบกับอัตราการเพิ่มขึ้นของตลาดโดยรวม อยู่ที่ประมาณ 10%

นายพิศิษฐ์ กล่าวต่อว่า แนวโน้มในการบริหารกองทุนปีหน้า จะเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิมมาก กว่าการขยายพอร์ตลูกค้า เนื่องจาก เม็ดเงินของลูกค้ามีปริมาณเพิ่มมาก ขึ้น ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องเพิ่มปริมาณลูกค้าใหม่อีก แต่ถ้าหากมีลูกค้าเข้ามาขอใช้บริการเพิ่ม ธนาคารยินดีที่จะบริหารกองทุนให้ นอกจากนี้ธนาคารคาดว่าจะมีลูกค้าจดทะเบียนในกองทุน เข้าระบบเพิ่มมากขึ้น แต่คงเป็นปริมาณที่ไม่สูงนักสำหรับลูกค้ากองทุนที่ธนาคารบริหารให้นั้น

ในส่วนของบริษัทเอกชนที่มีเม็ดเงินมากที่สุดได้แก่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และถือว่าเป็นบริษัทในกลุ่มเอกชนที่มีมูลค่ากองทุนมากที่สุดในตลาด ซึ่ง มีจำนวนถึง 10,000 ล้านบาท สำหรับรัฐวิสาหกิจที่เป็นลูกค้าของธนาคารที่มีขนาดกองทุนใหญ่ที่สุด คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต หรือ กฟผ. มีจำนวนกองทุน 24,000 ล้านบาท

แต่ในส่วนของธนาคารได้รับบริหาร เพียง 50% หรือคิดเป็น 12,000 ล้านบาท

"สัดส่วนในการลงทุนแต่เดิม นั้นการลงทุนในตราสารหนี้สูงถึง 90% แต่ปัจจุบันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น จึงเพิ่มสัดส่วนในการลงทุนในตราสารทุนเป็น 17% แต่ทั้งนี้ ต้องออกแบบการลงทุนเพื่อนำเสนอลูกค้าสำหรับให้การตัดสินใจในการลงทุน และพร้อมที่จะยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนในตราสารทุนดังกล่าว" นายพิศิษฐ์ กล่าวในตอนท้าย

ไทยธนาคารชี้ลอยตัวเงินหยวนผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจฟองสบู่

สำนักวิจัย และวางแผน ธนาคารไทยธนาคาร ได้ทำการวิเคราะห์เรื่อง "สหรัฐฯ-จีน : ดุล การค้าและแรงกดดันต่อค่าเงินหยวน" ว่า การลอยตัวค่าเงินหยวน จะทำให้เงินหยวนแข็งค่าและจะส่งผลกระทบหลายประการต่อเศรษฐกิจ จีนและภูมิภาค คือ มูลค่าการส่งออกของจีนจะลดลง อัตราการว่างงานจะเพิ่มสูงขึ้น ภาคการเงินการธนาคารที่อ่อนแอจะมีปัญหามากขึ้น การดำเนินนโยบายในการบริหารประเทศเป็นไปอย่างลำบาก

ขณะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยรวมปรับตัวสูงขึ้น ส่งผล กระทบต่อเสถียรภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้นจะทำให้จีนมีปัญหาด้าน การจัดการปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ และเป็นปัจจัยเร่งให้เกิด เศรษฐกิจฟองสบู่ หรือเร่งให้ฟองสบู่แตกเร็วขึ้นอย่างที่เคยเกิดกับญี่ปุ่น ดุลการค้าของประเทศเอเชีย จะชะลอตัวลง ส่งผลกระทบต่อภาค การผลิตทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในภูมิภาคสะดุด สำนักวิจัยฯ จึงมองว่าไม่ควรจะมีการปรับเปลี่ยนใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอย ตัวในช่วง 1-2 ปีข้างหน้านี้

สำนักวิจัยฯ ประเมินว่า การขยายช่วงการเคลื่อนไหวของเงินหยวนเพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นมีความเป็นไปได้ การขึ้นค่าเงินหยวนและการลอยค่าเงินหยวนให้เปลี่ยนแปลงเสรีตามกลไกตลาดยังคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก สหรัฐฯ จะยังคงกดดันให้จีนลอยค่าเงินต่อ ไปจนกระทั่งช่วงเลือกตั้งปีหน้า

"การลอยตัวของค่าเงินหยวน จะส่งผลให้ค่าเงินภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มแข็งค่าและผันผวนมากขึ้น ธนาคารกลางประเทศเอเชียจะเข้าแทรกแซงเพื่อไม่ให้ค่าเงินแข็งค่าเร็ว เกินไป ธนาคารกลางในบางประเทศ อาจจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อพยุงค่าเงินแรงกดดันต่อการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งเกิดจากการเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนประเทศในเอเชียทั้งจาก สหรัฐฯ และกองทุนการเงินระหว่าง ประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จะเพิ่มขึ้น"

ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯไตรมาสที่ 3 ขยายตัวร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 นั้น หมาย ความว่า คนอเมริกันจับจ่ายใช้สอย เพิ่มขึ้น อาจจะส่งผลให้สหรัฐฯขาด ดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นเกินกว่าที่คาด

สำหรับไทย คาดว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการแทรกแซงตลาดเพื่อพยุงค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าขึ้น เร็วจนเกินไปจนส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก ขณะที่ภาคส่งออก จะต้องติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด ต้องเร่งปรับตัวเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากการแข่งขันที่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและยังต้องศึกษาเครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.