กระทิงหุ้นไทยเดินหน้าต่อเนื่องวานนี้ หลังแบงก์ชาติย้ำอีกรอบ ตลาดหุ้น-อสังหาฯห่างไกลฟองสบู่
ดันวอลุ่มพุ่ง 6.42 หมื่นล้านบาท สูงสุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย 28ปี ขณะที่ฝรั่งยังซื้อสุทธิอีก
1,083 ล้าน บาท ดัชนีเพิ่ม 0.77% เป็น 665 จุด คาดดัชนีเดินหน้าผันผวน ทดสอบ 700
จุด ขณะที่ กิตติรัตน์ เผยตลาดหุ้นไทยขนาดใหญ่ขึ้นใกล้เคียงช่วงก่อนวิกฤต เศรษฐกิจ
40 ณ วานนี้ มูลค่าตลาดรวม (มาร์เกตแคป) สูงขึ้นเป็น 3.8 ล้านล้าน บาทแล้ว สูงสุดในรอบ
8 ปี เหตุนักลงทุนเชื่อมั่นแนวโน้มเศรษฐกิจไทย และ ความสามารถทำกำไรบริษัทจดทะเบียน
กระทิงหุ้นไทยยังเดินหน้าต่อเนื่อง แม้ วานนี้ (4 พ.ย.) นักลงทุนซื้อขายทำกำไรไม่ต่ำ
กว่า 4 รอบ ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวผันผวน แต่เดินหน้าต่ออีก 5.10 จุด เพิ่ม 0.77% เป็น
665.06 จุด มูลค่าซื้อขายรวมพุ่งเป็น 64,263.49 ล้าน บาท สูงสุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยกว่า
28 ปี โดยเป็นผลจากแรงซื้อของนักลงทุน ต่างชาติและขาใหญ่ในประเทศที่เน้นซื้อหุ้นบลูชิปขนาดใหญ่
โดยซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน และสื่อสารขายทำกำไรหุ้นกลุ่มแบงก์ และวัสดุก่อสร้าง ขณะที่หุ้นเล็กถูกนักลงทุนรายย่อยเท
ขายเก็งกำไร
แถมวานนี้บิ๊กล็อตจากนักลงทุนต่างประเทศ-ขาใหญ่ในประเทศ ท่วมตลาดหุ้นไทย ทั้งกลุ่มแบงก์ใหญ่
รวมถึงแบงก์กรุงเทพ (BBL) กสิกรไทย (KBANK) พลังงาน เช่น ปตท. (PTT) ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม
(PTTEP) บ้านปู (BANPU) บง.ทิสโก้ (TISCO) บง.เกียรตินาคิน (KK) บล.ซีมิโก (ZMICO)
ปูนใหญ่ (SCC) ซิโน -ไทย เอ็นจิเนียริ่ง (STECON)
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยวานนี้ว่า
ขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่ ทั้งภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นไทย
โดย เมื่อพิจารณาอัตราผลตอบแทนกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ตลาดหุ้นไทยขณะนี้ยังอยู่แค่
10.5 เท่า หากเทียบตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ บางประเทศ P/E มากกว่าของไทย ซึ่งบางประเทศอยู่ที่
15-18 เท่า สำหรับพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ถือว่าดี เห็นได้จากการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน
(บจ.) ในตลาดหุ้นไทย ซึ่งประกาศผลดำเนินงานแต่ละไตรมาสดี รวมทั้งยอดขายแต่ละธุรกิจ
ที่กำไรเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นว่าภาพรวม ทุกอย่างดี
รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ ธปท. ฉบับล่าสุด ต.ค.เรื่องภาวะฟองสบู่กับการปรับตัวของตลาด
หลักทรัพย์ไทยปัจจุบัน ระบุว่าปีนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและรวดเร็ว
โดยช่วง 9 เดือนแรกของปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) เพิ่มขึ้นประมาณ
60% จากปลายปีก่อน การปรับตัวของตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน ดัชนีเพิ่มขึ้นมากที่สุดในภูมิภาค
ส่วนหนึ่ง เพราะอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี) ต่ำกว่าตลาดหลักหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค
โดย ณ สิ้น ก.ย. อยู่ที่ประมาณ 9 เท่า ประกอบกับผลดำเนิน งาน บจ.ดีขึ้น และปรับขึ้นวงกว้าง
ครอบคลุมภาค ธุรกิจพื้นฐานดี เช่น สื่อสาร พลังงาน ก่อสร้าง ธนาคารพาณิชย์ โดยมีปัจจัยสนับสนุน
พื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีขึ้นชัดเจน
แนะซื้อลงทุนถือยาว
นางสาวอาภาพร แสวงพรรค ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส
(ประเทศไทย) กล่าวว่า สาเหตุที่มูลค่าซื้อขายมาก เพราะเป็นแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ
รวมถึงนักลงทุนรายใหญ่ไทย โดยเน้นซื้อหุ้นขนาดใหญ่ต่อเนื่อง ส่งผลตลาดฯ คึกคัก
ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย และมองว่า แนวโน้มจะดีต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ระยะนี้ คาด ตลาดฯ จะยังคงผันผวนต่อเนื่อง ซึ่งนักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังสูง
ช่วงนี้ เหมาะกับการลงทุนระยะยาว โดยอาศัยจังหวะดัชนีอ่อนตัว รับซื้อเพื่อถือยาว
รอรับปัจจัยพื้นฐานปี 2547 ส่วนนักลงทุนระยะสั้น ควรรอดูสถานการณ์ เพราะการลงทุนผันผวนสูง
ทำให้มีความเสี่ยงสูง ด้วย ความเคลื่อนไหวของดัชนี คาดว่าภายใน 1-2 เดือนนี้ มีโอกาสปรับขึ้นยืน
700-750 จุด
เน้นหุ้น 3 กลุ่ม
นางสาวอรุณรัตน์ จิวังกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย
กล่าวว่าปัจจัยที่ทำให้ตลาดฯ คึกคักต่อเนื่อง จาก คาดการณ์ผลประกอบการบจ.ในตลาดหลักทรัพย์
ที่ประกาศออกมา และมีแนวโน้มจะขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่น และกลับเข้ามาลงทุน
กลุ่มที่น่าจะประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 3 ดี ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง
พัฒนาอสัง- หาริมทรัพย์ จึงทำให้มีแรงรับซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าว
นางสาวอรุณรัตน์กล่าวว่า แนวโน้มดัชนี คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้อีก ภายในปีนี้ดัชนีจะปรับ
ตัวขึ้นยืน 700 จุดได้ เพราะปัจจัยพื้นฐานรองรับ กลยุทธ์การลงทุน ควรเลือกหุ้นพื้นฐานดี
และถือ ลงทุนระยะยาว
ทางด้านนายเจริญ เอี่ยมพัฒนาธรรม ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอบี กล่าวว่า
การซื้อหุ้นผ่านบัญชีหักกลบลบหนี้วันเดียว (Net settlement) ขณะนี้ไม่น่าจะมาก
เพราะเท่าที่สังเกตแรงซื้อขาย มีทั้งนักลงทุนต่างชาติ และในประเทศผสมกัน ทำให้ตลาดฯ
ผันผวนรุนแรง โดยนักลงทุนต่างชาติย้ายกลุ่ม ลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานและสื่อสาร หลังจากวันก่อน
ลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารและหลักทรัพย์ ขณะที่หุ้นเล็กหยุดเก็งกำไร รอดูทิศทาง ดังนั้น
แนวโน้มตลาดฯ ยัง จะผันผวนต่อเนื่องอีก
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าตลาดหลักทรัพย์คาดว่าปี
2547 มูลค่าตลาดรวม (Market Capitalization) ตลาดน่าจะอยู่ที่ 4.3 ล้านล้านบาท
เป็นไปตามคาด ซึ่งเมื่อ พิจารณาเทียบเป็นเงินบาท มูลค่าตลาดรวมขณะนี้ใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี
2540 แต่หากเทียบเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ กับช่วง เวลาเดียวกัน ยังเทียบไม่ได้ เพราะช่วงก่อนเกิดวิกฤต
ค่าเงินบาทเมื่อเทียบดอลลาร์ต่างกันมาก
ถ้าพิจารณารอบปี มูลค่าตลาดรวมเพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 80% สาเหตุมูลค่าตลาดรวมเพิ่มขึ้น
เกิดจากความสามารถทำกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ดีขึ้น สัดส่วนหนี้สินต่อ
ทุนเฉลี่ย บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อเทียบช่วง ก่อนวิกฤตดีขึ้นไม่นับรวมกลุ่มสถาบันการเงิน
หนี้สินต่อทุน บจ. 3 เท่า แต่ปัจจุบัน เหลือ 2.5 เท่า แสดงให้เห็นว่าความแข็งแรงทางการเงิน
บจ. สูง อัตราดอกเบี้ยที่ก่อหนี้ก็ต่ำกว่า นอกจากนี้ยังเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจในเศรษฐกิจไทย
นายกิตติรัตน์กล่าวว่า สัดส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (พีอี) ที่จะทำได้ ขณะนี้ 13 เท่า
ซึ่งยังต่ำกว่าก่อนเกิดวิกฤต ที่อยู่ที่ 18 เท่า ถ้าพิจารณาประเด็นต่างๆ บจ.แข็งแรงมากขึ้น
รวมทั้งหากเทียบค่าพีอีตลาดหุ้นไทย กับตลาดหุ้นแถบประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่ที่
12-17 เท่า ตลาดหุ้น ไทยยังไม่แพงเกินไป