The New New Thing: A Silicon Valley Story


นิตยสารผู้จัดการ( ธันวาคม 2542)



กลับสู่หน้าหลัก

สิ่งที่ไมเคิล ลูอิสเคยเปิดเผยเกี่ยวกับเหล่าเทรดเดอร์ และอาร์บิทาช เชอร์ ซึ่งก็คือพวกนักค้าหุ้นและนักเก็ง กำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพยนิวยอร์กเมื่อหลายปีก่อน ในหนังสือเรื่อง Liar"s Poker ของเขานั้น มาบัดนี้เขาได้จับงานเจาะลึกชิ้นใหม่ ในลักษณะเดียวกับที่เคยทำมา เกี่ยวกับแวดวงความเป็นมาของกิจการในหุบเขาซิลิคอน (Silicon Valley) แหล่งกำเนิด ของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร ์และการพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้จนทำให้โลกก้าวล่วงเข้าสู่ยุคดิจิตอลได้ในปัจจุบัน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ว่าด้วย ชีวประวัติของจิม คลาร์ก (Jim Clark) ผู้ก่อตั้งกิจการสำคัญหลายแห่งในหุบเขานี้ ได้แก่ Silicon Graphics, Netscape และ Healtheon ลูอิสให้ความสำคัญกับกิจการ Healtheon อย่าง มาก คลาร์กกำลังจะเปลี่ยน โฉมธุรกิจการดูแลรักษาสุขภาพ (healthcare business)ธุรกิจนี้มีมูลค่าเหยียบล้านล้านเหรียญสหรัฐทีเดียว เขากล่าวว่าดูเหมือนคลาร์กจะเลิกเป็นนักธุรกิจ แล้ว หันมาเป็นอาร์ตทิสต์ด้านแนวคิด (conceptual artist)

คลาร์กเป็นบุคคลที่มีความสำคัญ มากในฐานะที่เป็นผู้ก่อร่างจิตวิญญาณของยุคใหม่คือยุคของเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร คลาร์กเป็นนักฟิสิกส์ เกิดในเท็กซัส เขามีแนวคิดธรรมดาเกี่ยวกับ Healtheon แล้วก็ใส่เม็ดเงินเริ่มต้นลงไป แล้วก็จ้างคนมาทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา จากนั้นคลาร์กก็มาเน้นการสร้าง Hy-perion มันเป็นเรือลำหนึ่งมีความสูง 197 ฟุต ฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆควบคุมไว้โดยสถานีการทำงาน 25 SGI (มันเป็นเรือที่คลาร์กจะโดยสารและบังคับได้จากจุดใดก็ได้ในโลกนี้) เรือลำนี้ท่องไปในโลกคอมพิวเตอร์

หนังสือของลูอิสแม้จะว่าด้วยเรื่องของคลาร์ก แต่มันก็ฉายภาพอุต-สาหกรรมคอมพิวเตอร์โดยรวมได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าหุบเขาซิลิคอนนั้น เป็นเสมือนกำเนิดของความมั่งคั่งอย่างมโหฬารที่สุดเท่าที่มีมาในประวัติศาสตร์โลก กล่าวได้ว่าเป็นวอลล์สตรีทของทศวรรษ 90 ทีเดียว และคลาร์กเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในความมั่งคั่งนี้ เขาเป็นคนที่อุดมไปด้วยแนวคิด มีความคิดใหม่ที่ทำเงินได้มหาศาล เขาเป็นผู้คิดแล้วก็ปล่อยให้เหล่าวิศวกรของเขาทำงานรายละเอียดให้แนวคิดของเขาปรากฏเป็นจริงขึ้นมา

คลาร์กรังสรรค์ชีวิตของเขาพร้อม ไปกับการดำเนินชีวิต สิ่งที่เป็นแรงขับดันอยู่เบื้องหลังเขาคือการดำเนินตามประสบการณ์และความคิดใหม่ๆ เขาเป็นต้นแบบผู้นำ ที่มีความร่ำรวยอย่างมากในหุบเขานี้ ลูอิสเขียนไว้ว่าคนไม่จำเป็นต้องสร้างคอมพิวเตอร์ใหม่ เพื่อสร้างอนาคต พวกเขาเพียงคิดสิ่งใหม่และให้คอมพิวเตอร์ทำมันออกมาต่างหาก นี่แหละคือประเด็นของอุตสาห-กรรมคอมพิวเตอร์ในหุบเขาซิลิคอน นักวิจารณ์ส่วนมากชื่นชมหนังสือ เล่มนี้ของลูอิส มันเป็นหนังสือที่อ่านสนุก บางคนบอกว่าตลก มันมีเรื่องราวเบื้องหลังดีลที่น่าสนใจหลายอันที่เกิดขึ้นในซิลิคอน เรื่องของพวกเวนเจอร์ แคปฯ พวกวาณิชธนากร ซึ่งเป็นการเขียนออกมาราวกับเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ ทีเดียว

มีผู้แนะนำว่านอกเหนือจากคนที่สนใจเรื่องคอมพิวเตอร์และธุรกิจที่อ่าน หนังสือเล่มนี้แล้ว หมอและบุคลากรในวงการแพทย์ก็อ่านได้ด้วย เพราะกิจการ Healtheon นั้น เป็นการเอาวิชาชีพของคนกลุ่มน ี้เข้าไปใส่ไว้ในคอม-พิวเตอร์ มีผู้อ่านคนหนึ่งที่ทำงานเกี่ยว ข้องในวงการนี้ให้ความเห็นว่า วิธีนี้อาจช่วยในเรื่องการทำวิจัยทางการแพทย์ได้ ไมเคิล ลูอิส อดีตเคยทำงานเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของบริษัทซาโลมอน บราเธอร์ส หนังสือเรื่อง Liar"s Poker ของเขาได้รับความสำเร็จอย่างมาก งานเขียน ต่อมาของเขาได้แก่ The Money Culture , Trial Fever และเล่มล่าสุด The New New Thing ซึ่งกำลังโด่งดังมากเขาเป็นอาจารย์พิเศษที่ภาควิชาหนังสือพิมพ์ ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบอร์คลีย์ พำนักที่เบอร์คลีย์กับภรรยาชื่อ Tabitha Soren ซึ่งเป็นนักหนังสือพิมพ์

เบื้องหลังแนวคิดการทำงานของไมเคิล ลูอิส

ถาม : เรื่องราวของจิม คลาร์กผู้ก่อตั้งเนทสเคปได้กลายมาเป็นองค์ประกอบหลักในการเขียนเรื่องหุบเขาซิลิคอนได้อย่างไร?

ตอบ : หุบเขาซิลิคอนเป็นหัวข้อที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับ การเขียนหนังสือเพราะมันมีเรื่องราวที่กระจัดกระจายมาก มีคนหลายพันคนที่อยู่ในแวดวงที่มีอาณาจักรเหมือนมดแห่งนี้ ในฐานะนักเขียนผมก็เลยใช้วิธีจับคนขึ้นมาสักสิบคนจากกลุ่มนี้ ให้ความสนใจพวกเขาเท่าๆ กัน และหวังว่าสิบคนนี้จะเป็นภาพสะท้อนบางอย่างได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่ค่อยได้ผลดังใจผมสักเท่าไหร่ ที่ผมคิดไว้เหมือนกับภาพยนตร์เรื่อง The Great Gatsby

มันมีงานที่ต้องทำมากมายก่อนที่ผมจะค้นพบว่าใครเป็นเป้าหมายในการเขียนของผม ผมท่องไปโดยเปล่าประโยชน์และเขียนสิ่งที่ไม่ได้เรื่องได้ราว เพื่อที่จะหาออกมาว่าใครพูดมากที่สุดในหุบเขานี้ หรือใครกันที่มีความพิเศษเหมาะเจาะกับสถานที่แห่งนี้

ผู้คนในหุบเขาที่นี่ไม่ได้มีความต่างไปจาก "ลักษณะ" ของคนในวิชาชีพอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ ก็คือพวกเวนเจอร์ แคปปิตาลิสม์ (นักร่วมลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง สูง) ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับคนในวอลล์สตรีทอย่างมาก เรียกว่าหากไม่มีหุบเขานี้เกิดขึ้น คนเหล่านี้ก็อาจจะไปทำงานในวอลล์สตรีท แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามันมีบุคลิกพิเศษ ของคนที่นี่ เรียกว่าบุคลิกแบบซิลิคอนก็ได้ และเมื่อมีคนกล่าวว่า "นี่คือสิ่งที่ต้องการ" คำกล่าวนี้ก็ชักนำให้คนทุ่ม เททรัพยากร ทั้งเงินและบุคลากร แข่งกันไปหาสิ่งที่ว่านั้น

ผมคิดว่าพวกเถ้าแก่ที่นี่มีบุคลิกประหลาดๆ คือมีส่วนผสมของนักพยากรณ์และคนที่ช่างคิดเพ้อฝันบวกกับบุคลิกของนักเป่าปี่หลายๆ แบบ ซึ่งมันเป็นบุคลิกที่ไม่ปรากฏในที่ใดเลยของชีวิตอเมริกันชนทั้งหลาย หากถามว่าคนที่นี่จะทำอะไรหากไม่มีหุบเขาแห่งเทคโนโลยีเกิดขึ้น คำตอบก็คือส่วนมากก็คงต้องเข้าไปอยู่ในคุก เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีการสมาคมใดๆ ซึ่งนี่แหละเป็นสิ่งที่จูงความสนใจของผมต่อคนกลุ่มนี้

มันน่าประหลาดใจเกี่ยวกับพฤติกรรมจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากบุคลิกดังกล่าวข้างต้นได้ ไม่มีการคาดหวังว่าเถ้าแก่ที่นี่จะเป็นเหมือนนักธุรกิจชาวอเมริกันทั่วๆ ไป เขาถูกคาดหวังให้มีความแตกต่าง ความประหลาดจุดนี้แหละที่ดึงดูดความสนใจของผม เมื่อผมคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็นึกไปถึงบทสนทนาที่มีกับเวนเจอร์แคปฯ รายหนึ่งในหุบเขานี้ เขาชื่อ John Doerr ผมถามเขาว่าใครน่าสนใจบ้าง? คนแรกที่เขาพูดถึงคือจิม คลาร์ก เขาบอกว่าคลาร์กเป็นมนุษย์คนเดียวในสายพันธุ์แบบนี้ที่กำเนิดมาในประวัติศาสตร์อเมริกัน เขาเป็นเจ้าของกิจการ 3 แห่งโดยแต่ละแห่งนั้นมีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ แน่นอนว่าตอนแรกนั้นกิจการลำดับที่สามมีมูลค่าเป็นศูนย์ (หมายถึง Healtheon) แต่ Doerr สันนิษฐานว่ามันต้องมีมูลค่ามหาศาลแน่ และ Doerr ก็กล่าวด้วยว่า นี่ไง คลาร์กค้นพบสิ่งที่ต้องการกันแล้ว มันเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินรัศมีเส้นขอบฟ้าเสียอีก

เหตุผลที่ผมจดจำบทสนทนากับ Doerr ได้ก็เพราะว่ามีคนที่หุบเขาแห่งนี้เล่าเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง เป็นเรื่องของเวนเจอร์แคปฯ คนหนึ่งชื่อ Glenn Meuller ชาย คนนี้ระเบิดสมองตัวเองเมื่อคลาร์กบอกกับเขาว่าเขาจะไม่ได้รับส่วนแบ่งในเนทสเคป ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ผมต้องไปหาความจริงเรื่องนี้ออกมาให้ได้ ซึ่งมันก็เป็นที่มาที่ทำให้ผมได้คุยกับคลาร์ก

ถาม : เขาว่าอย่างไรบ้างในครั้งแรกที่พบกัน และคุณได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเขาอย่างไร

ตอบ : เขาดูลำบากใจเมื่อพบกันครั้งแรก ก็ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาถามเขาว่า จริงไหมที่มีคนบอกว่าคุณฆ่า Meuller? ซึ่งเขาตอบว่า อืม...มันมีเรื่องที่ซับซ้อนมากกว่านั้น เรื่องการตายของ Mueller รบกวนจิตใจของคลาร์กอย่างมาก และเขาก็คิดว่าเขาได้รับผิดชอบเรื่องนี้นานเป็นเวลาหลายต่อหลายเดือนทีเดียว

แต่คลาร์กรู้ว่าผมเป็นใคร ซึ่งมันก็ช่วยสร้างความไว้ใจต่อกันได้มาก การที่เขาไม่เคยอ่านหนังสือ Liar"s Poker ของผมก็ช่วยได้มากด้วยเหมือนกัน เขาเพียงแตรู้จักหนังสือนี้อย่างคร่าวๆ และรู้ว่ามันเขียนสนุก เมื่อเรารู้จักกันมากขึ้นๆ และเขาเริ่มลากเอาผมเข้าไปในการพบปะเชิงธุรกิจบ่อยครั้งขึ้น ก็เลยมีคนจำนวนมากพูดกับเขาว่า คุณทำบ้าอะไรอยู่นี่ คุณอ่านหนังสือ Liar"s Poker บ้างหรือเปล่า เขาก็เลยไปอ่านหนังสือของผม และผมก็คิดว่า โอ! ไม่นะ ถาม : เขามีปฏิกิริยาอย่างไรหรือ

ตอบ : เขาหัวเราะ เขาบอกว่าหนังสือเล่มนั้นเขียนดีมาก พวกวาณิชธนากรทั้งหลาย ถูกลากลงหลุมหมด หากเป็นตัวเขาก็คงทำแบบผม ผมบอกได้เลยว่าคลาร์กมองพวก IB ไม่ต่างไปจากที่ผมพรรนาไว้ในหนังสือนั่น มันก็เลยเหมือนเป็นการตอกย้ำกับตัวเขาเองว่าผมก็เป็นคนที่มีความคิดคล้ายๆ กับเขา มันทำให้ความสัมพันธ์ของเรามั่นคงขึ้น ผมมีความใกล้ชิดเขามากขึ้นจนกระทั่งเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขา ถาม : เขาเคยมีความรู้สึกเสียใจไหมที่เปิดเผยกับคุณมากถึงขนาดนี้

ตอบ : บางครั้งเขาแสดงความน่ากลัวออกมาและพูดว่า เขารู้สึกว่ามันบ้าที่มีผมมาอยู่แถวๆ นี้แต่มันก็สายเกินกว่าจะแก้ไขได้แล้ว เป็นเวลาหลายเดือนทีเดียวกว่าที่ผมจะมาถึงบทสรุปว่าหนังสือเล่มใหม่ของผมเป็นเรื่องราวทั้ง หมดเกี่ยวกับตัวเขา ผมไม่จำเป็นต้องกระจายเรื่องออกไปมากกว่านี้ การเดินเรื่องผ่านเขาทำให้ผมเข้าถึงทุกอย่างที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งน่าสนใจในหุบเขาแห่งนี้

เขานำให้ผมเข้าถึงกลุ่มวิศวกร กลุ่มเวนเจอร์แคปฯ กลุ่ม IB และเขาก็เป็นไกด์เดินป่าของเราด้วย ตอนที่ผมคิดเรื่องนี้ออกเขาเข้ามาอยู่ลึกมากแล้ว มันสายเกินไปที่จะแก้ไข

ถาม : แล้วเขาคิดอย่างไรเมื่อหนังสือเสร็จสมบูรณ์แล้ว

ตอบ : มันไม่ได้รบกวนความสัมพันธ์ของเรา แต่เขามีความรู้สึกหลายอย่างต่อหนังสือเล่มนี้ ผมไม่ควรพูดแทนเขา แต่ผมคิดว่างานชิ้นนี้คงจะรบกวนใจเขาอยู่มากเพราะ ผมเห็นบุคลิกเขามีความใจจดใจจ่อมาก หรือพูดอีกอย่าง เขาระมัดระวังบทบาทความสำคัญของเขามาก ซึ่งเขาคงไม่พูดแบบนี้แน่

เขารู้ดีว่าเขาเป็นคนนำ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีที่มีคนมาทำความเข้าใจตรงจุดนี้ของเขา เขาชอบ แต่บางอย่างเขาก็คิดว่ามันค่อนข้างบ้า เขารู้ว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเขาหากจะอ่านหนังสือของผม เพราะเขารู้ว่าผมเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานเพียงใด และมันก็ต้องใช้เวลานานพอควรกว่าที่ความรู้สึกของเขาจะกลับสู่ปกติได้ ผมคิดว่าเขาเตรียมตัวอยู่

ผมส่งหนังสือให้เขาตอนที่ผมได้ต้นฉบับมาตรวจแก้ไข และผมก็ให้เวลาเขา 24 ชั่วโมง ผมกลับมาอีกครั้งในเช้าวันถัดมาและพบว่า คือมันตลกมากๆ เลย ครึ่งหนึ่งของตัวเขาก่นด่าผม ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งบอกว่ามันเป็นงานชิ้นเยี่ยมจริงๆ ผมคิดว่าความจริงก็คือสิ่งที่เขาแสดงออกนั่นแหละ เขาไม่สนใจเรื่องราวในอดีต ความสนใจที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ของเขาก็คือว่ามันจะส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไปอย่างไร

ถาม : คุณพูดถึง Gatsby และนักเป่าปี่ -the Pied Piper มีตำนานหรือบุคลิกอะไรของคลาร์กเกี่ยวโยงกับสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า

ตอบ : ผมคิดถึง Gatsby และก็คิดถึงพระศิวะที่เป็นพระเจ้าในศาสนาฮินดูซึ่งเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย ผมมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในใจ ผมนึกไปถึงลาสเวกัส สถานท ี่และสิ่งต่างๆ ที่แปลกประหลาดสำหรับพวกเราและก็ประเทศนี้ ผมก็แค่คิดว่า คนคนนี้ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในที่อื่นใดในโลกนี้ได้นอกจากในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

คลาร์กเป็นศิลปิน เหมือนปิกัสโซหรือศิลปินบางคน จานผสมสีของเขาก็คือเทคโนโลยี เขาคลำหาหนทางที่จะแสดงแนวคิดของเขาออกมา เมื่อคุณมองดูเขา ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมใด มันเหมือนกับนั่งมองดูศิลปินคนหนึ่ง ...คือ ผมอยากจะบอกว่าเขามองเห็นว่าสิ่งที่ผมทำในชีวิตของผมนั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากสิ่งที่เขาทำกับชีวิตของเขาเลย ผมพบว่าในช่วงหกเดือนของการเขียนหนังสือเล่มนี้ มีภาวะจิตใจแบบต่างๆ ที่เขารู้ว่าเกิดขึ้นกับผม บางช่วงผมอยากจะละทิ้งโครงการไป หรือผมไมรู้จริงๆ ว่ากำลังมองหาอะไรอยู่ ผมตกอยู่ในจำพวกคนสิ้นหวังท้อแท้ นั่นก็เป็นบุคลิกภาพของเขาเหมือนกัน ขึ้นๆ ลงๆ

ถาม : คุณมีความพอใจอะไรบ้างในการเข้าไปสังเกตความ เป็นไปในหุบเขาซิลิคอน ในหนังสือเล่มใหม่นี้ คุณกล่าวว่าพวกเวนเจอร์แคปฯ กำลังจะเข้าไปแทนที่พวกวาณิชธนากร ในวอลล์สตรีท ดูเหมือนคุณจะพอใจพูดถึงพวกเขาในทำนองนี้

ตอบ : ใช่ครับ และนี่คือสิ่งที่ผมประทับใจในตัวคลาร์กมาก ผมชื่นชมคนที่ยอมรับความเสี่ยงด้วยตัวเองและลงมือเล่นเอง คนในวอลล์สตรีทไม่ใช่พวกที่ยอมรับความเสี่ยงด้วยตัวเอง พวกเขาเป็นคนที่คอยเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษในโต๊ะเจรจา ที่มีการเปลี่ยนเจ้าของเงินต่างหาก ผมไม่ได้นิยมคนเหล่านี้

คือผมก็ไม่ได้คิดว่าเป็นพฤติกรรมที่ชั่วร้ายอะไรหรอก แต่ผมคิดว่าพวกเขาได้ค่าจ้างสูงเกินไป และมันก็เป็นเรื่องกวนใจผมอยู่ในข้อที่ว่าคนหนุ่มๆ ชอบเข้ามาเป็นวาณิชธนากรเพราะว่าได้ค่าจ้างแพง คนเหล่านี้ก็ชอบจะคิดว่าเพราะว่าค่าจ้างแพงแสดงว่าวาณิชธนกิจมีความสำคัญ ต่อสังคมมาก นี่ต่างหาก คนอย่างคลาร์กต่างหากที่ยอมรับความเสี่ยงใหญ่หลวงยิ่งกว่า

สิ่งที่น่าสนใจมากยิ่งกว่าคือ แม้ว่าคลาร์กจะมีธุรกิจที่มีความสำคัญมากถึง 3 แห่ง มีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ แต่คนอย่างเขาก็ยังชอบลองของใหม่ๆ คือชอบเสี่ยงเหมือนกับที่เคยเป็นมา เพราะว่าสิ่งต่างๆ มันเป็นแนวทางที่เขาต้องจัดการให้เป็นไปตามนั้น เขาไม่ได้มีการขยายพอร์ตการลงทุนไปสู่กิจการอื่นๆ ที่ต่างออกไปเหมือนกับนักลงทุนบางกลุ่ม ซึ่งผมชอบแนวทางที่เขาทำ ผมเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้นทีเดียว

ในประการต่อมา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สามารถถกเถียงกันได้ก็คือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหุบเขานี้มีประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมอย่างยิ่ง ไม่มีข้อสงสัยว่าสิ่งที่คนในหุบเขานี้คิดทำขึ้นจะก่อให้เกิดการบูมครั้งใหญ่ และผมก็ไม่สงสัยว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญ แต่มันก็นำไปสู่คำถามอีกข้อที่ว่าสังคมของคนที่นี่เป็นสังคมที่ดีหรือไม่ คำถามข้อนี้แหละที่ผมไม่ใคร่สะดวกใจจะตอบสักเท่าใด เพราะมันเป็นสถานที่ที่ไม่ใส่ใจเรื่องราวในอดีต ทว่ามุ่งแต่สิ่งอนาคตเท่านั้น ผมคิดว่าที่นี่มีลักษณะการปกครองโดยลัทธิเผด็จการนิยม แต่มันมีความซับซ้อนมาก พูดกันในเชิงเศรษฐกิจแล้ว ผู้บริหารในหุบเขานี้โดยทั่วไปพวกเขาพยายามทำให้โลกก้าวหน้ามากขึ้น มันก็เป็นเรื่องดีที่จะเห็นพวกเขาทำสำเร็จในแนวทางที่ประหลาดๆ แบบนี้ โดยเฉพาะคนเหล่านี้เป็นชนชั้นที่เคยถูกกดขี่ข่มเหงมาก่อน คนจำนวนมากในหุบเขานี้เป็นช่างเทคนิคซ่อมอุปกรณ์ หรือคนรุ่นพ่อของเขาก็เป็นผู้จัดการระดับกลาง ซึ่งถูกจ้างออกจากงานตอนที่บริษัทไอบีเอ็ม มีนโยบายเลิกจ้างเมื่อหลายปีก่อนโน้น มันก็เลยเป็นเรื่องดีที่จะเห็นคนที่ไม่เคยชนะ หรือประสบความสำเร็จมาก่อน สามารถก่อให้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.