สถานแสดงสินค้านานาชาติปรารถนาสุดท้ายของ อรุณ แสงสว่างวัฒนะ


นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2529)



กลับสู่หน้าหลัก

สำหรับคนที่อายุ 77 เคยถูกหามเข้าห้องไอซียูเพราะหัวใจหยุดทำงานมาแล้ว 2 ครั้ง และประสบอุบัติเหตุขาหักต้องใส่เหล็กเดินไปไหนต้องใช้ไม้ค้ำยันนั้น ก็คงไม่มีใครตำหนิอย่างแน่นอน ถ้าจะนอนนั่งอยู่ในบ้านเฉยๆ

อรุณ แสงสว่างวัฒนะ มีสภาพเช่นนั้นขณะนี้

ก็คงไม่มีใครว่าอะไรถ้าอรุณจะหยุดพักเสียบ้าง

แต่อรุณคิดว่าเขาคงจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เพราะอรุณยังมีงานอีกชิ้นที่ต้องทำ จะเรียกว่าเป็นปรารถนาสุดท้ายที่เขาต้องการทำให้สำเร็จก่อนชีวิตนี้จะหาไม่ไปแล้วก็ได้

อรุณ เรียกปรารถนาสุดท้ายนี้ว่า

“โครงการจัดตั้งบริษัทส่งเสริมการแสดงสินค้านานาชาติ จำกัด หรือ INTERNATIONAL TRADE PROMOTION CO., LTD. (ITPC) ซึ่งโดยสรุปก็คือโครงการสร้างสถานแสดงสินค้านานาชาติ (INTERNATION TRADE FAIR GROUND) ขึ้นเป็นสถานที่ถาวรแห่งแรกในประเทศไทย”

และเป็นปรารถนาสุดท้ายที่อรุณต้องการให้คนหลายๆ ฝ่ายเข้ามาร่วมกันทำ เพราะ “คุณก็เห็นแล้วว่าผมคงจะออกไปโลดเต้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันเป็นโครงการใหญ่ที่ต้องใช้มืออาชีพ ผมจึงอยากจะขายความคิดนี้ ใครสนใจก็เข้ามาร่วมกัน จะทำอย่างไรก็ทำกัน ขอให้มันตั้งขึ้นมาให้ได้ผมเป็นสบายใจนอนตายตาหลับ...” อรุณให้เหตุผล

อรุณจัดพิมพ์เอกสารขึ้นมา 15,000 ชุดเมื่อต้นเดือนกันยายน 2528 เอกสารนี้ได้กล่าวถึงที่มาของแนวความคิดที่อรุณได้พบเห็นมาตลอดระยะเวลากว่า20 ปี มีบทเรียนจากญี่ปุ่นเกี่ยวกับประโยชน์ของการมีสถานที่แสดงสินค้านานาชาติ และการแสดงสินค้านานาชาติ จากนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโครงการตั้งแต่วัตถุประสงค์ไปจนถึงวิธีดำเนินการให้โครงการนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง

เอกสารทั้ง 15,000 ชุดนี้ ถูกส่งไปให้บุคคลแทบทุกวงการทั้งในภาครัฐบาลและภาคเอกชน

รัฐมนตรีทุกคน ข้าราชการระดับอธิบดีขึ้นไป นักธุรกิจหลายสาขา ล้วนอยู่ในบัญชีรายชื่อที่อรุณได้ส่งเอกสารดังกล่าวนี้ไปให้อ่าน โดยหวังว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่จะต้องให้ความสนใจและติดต่อกลับมา

วันที่ 8 กันยายน 2528 เอกสารทั้ง 15,000 ชุดถูกส่งไปแล้วเรียบร้อย

วันที่ 9 กันยายน 2528 มีรัฐประหาร “ผิดนัด”

ข่าวรัฐประหารกลายเป็นข่าวใหญ่ทั้งบนหน้าหนังสือพิมพ์และความสนใจของคนไทยทั้งประเทศ

โครงการของอรุณเลยต้องกลายเป็นข่าวตกสำรวจไปอย่างช่วยไม่ได้

อรุณ แสงสว่างวัฒนะ นั้นเป็นคนที่ริเริ่มสร้างสรรค์งานเอาไว้หลายอย่าง

โดยเฉพาะงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทยแล้ว อรุณเป็นคนแรกที่ทำขึ้นมาและก็จับงานนี้ไม่เคยทิ้ง

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2506 อรุณซึ่งในขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นกรรมการหอการค้าไทย ได้ติดต่อเช่าสวนลุมพินีตรงเนื้อที่เล็กๆ ด้านศาลาจตุรมุขจัดแสดงรถยนต์ วิทยุ และโทรทัศน์ ขึ้น

สำหรับเอกชนที่กล้าทำเช่นนี้ในยุค 22 ปีที่แล้วซึ่งก็เพิ่งจะเป็นคนแรกและครั้งแรกนั้น ก็สมควรอยู่หรอกที่จะต้องถูกหัวเราะเยาะหาว่า “เป็นคนคิดบ้าๆ ที่แส่หาเรื่องขาดทุน”

เพราะยุคนั้นงานแสดงสินค้าที่เห็นทำกันพอจะสำเร็จบ้าง ก็มีแต่งานฉลองรัฐธรรมนูญซึ่งรัฐบาลเป็นผู้จัด ส่วนเอกชนจะไปเอาศักยภาพจากไหนมาชักชวนให้บริษัทห้างร้านต่างๆ เสียเงินเอาสินค้ามาแสดง นี่ยังไม่ต้องพูดกันว่าจะมีคนมาเดินชมงานหรือไม่

นอกจากนี้สถานที่คือสวนลุมพินีสมัยนั้นก็ถือว่าห่างไกลจากกลางใจเมืองมาก ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับงานฉลองรัฐธรรมนูญ งานกาชาด และงานวชิราวุธ 3 งานใหญ่ประจำชาติซึ่งใช้สวนสราญรมย์ สวนอัมพร และถนนราชดำเนิน เป็นสถานที่จัดงานด้วยแล้วก็ดูจะยิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้

แต่อรุณ แสงสว่างวัฒนะ ก็จัดขึ้นมาจนได้ งานครั้งแรกนี้อรุณเชิญเกษม ศรีพยัคฆ์ รัฐมนตรีพาณิชย์มาเป็นประธานเปิดงาน

และก็เป็นงานที่ประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งในด้านจำนวนผู้นำสินค้ามาแสดงและจำนวนผู้เข้าชมงาน

ก็เลยต้องจัดต่อมาอีก 3 ปีติดต่อกัน โดยขยายพื้นที่ในสวนลุมพินีขึ้นเป็นลำดับ

“มีหลายประเทศส่งสินค้ามาร่วมแสดง งานใหญ่ไม่แพ้งานฉลองรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลจัด จนฝรั่งต้องให้ฉายาผมว่า มิสเตอร์เทรดแฟร์ สำหรับชื่องานผมใช้อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดแฟร์ ทุกครั้ง” อรุณเล่าให้ฟังอย่างชื่นมื่น

ก็น่าจะกล่าวได้ว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้สำหรับอรุณแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่เป็นเพราะความบังเอิญ มันเป็นสิ่งที่อรุณเชื่อมั่นอยู่ตลอดเวลาว่าทำสำเร็จแน่ๆ และมันก็เป็นความคิดที่เกิดขึ้นมานานพอสมควรแล้วด้วย

“ผมมีความคิดมาตั้งแต่ปี 2502 เมื่อผมไปเห็นความเจริญก้าวหน้าของญี่ป่นในการค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีจากการจัดแสดงสินค้านานาชาติที่โตเกียว (TOKYO INTERNATIONAL TRADE FAIR) และที่โอซากา (OSAKA INTERNATIONAL TRADE FAIR) ตอนนั้นผมเป็นกรรมการหอการค้าไทยได้เสนอให้หอการค้าไทยจัดแสดงสินค้าแบบหอการค้าต่าง ๆ ของญี่ปุ่นบ้าง โดยจัดเป็นงานเทรดแฟร์ขึ้นปีละครั้งตามอย่างเขา แต่กรรมการหอการค้าสมัยนั้นไม่ได้ทำ ต่อมาได้ไปดูการจัดงานแสดงสินค้าอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะที่ฮ่องกง โตเกียว โอซากา หลายครั้งเพราะผมจัดนำเที่ยวฮ่องกง-ญี่ปุ่นด้วย ตามแบบคุณเกษมสุข ยันตรโกวิทนักเรียนญี่ปุ่น ซึ่งจัดเป็นคนแรกหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติแล้ว เห็นกันได้ชัดว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นแม้ว่าจะแพ้สงครามอย่างย่อยยับ อเมริกาเข้าไปยึดครอง แต่ญี่ปุ่นไม่หยุดยั้งการกอบกู้ประเทศทางการค้าและอุตสาหกรรมด้วยการจัดแสดงสินค้าทั้งเทรดเซ็นเตอร์และเทรดแฟร์ ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยกระตุ้นการค้าและอุตสาหกรรมของเขา ผมด้วยเลือดรักชาติและเลือดนักการเมืองผมก็ต้องการจะให้ประเทศไทยไม่น้อยหน้าญี่ปุ่น ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องกระตุ้นเรื่องเทรดแฟร์กันบ้าง เพื่อให้มันมีผลไปถึงการค้าและอุตสาหกรรมของเรา” อรุณร่ายยาวกับ “ผู้จัดการ”

แต่ถ้าบ้านนี้เมืองนี้ล้วนมีคนที่คิดอย่างเดียวกับอรุณ แสงสว่างวัฒนะ กันเป็นส่วนใหญ่ บ้านนี้เมืองนี้ก็คงไม่ต้องจมปลักมีหนี้ท่วมหัวและแก้ปัญหาดุลการค้าขาดดุลกันไม่ตกอย่างเช่นทุกวันนี้เป็นแน่แท้

นอกจากจะไม่คิดเหมือนกันแล้วก็ยังมีอิจฉากันเสียอีก

ด้วยความที่เห็นอรุณ แสงสว่างวัฒนะ จัดงาน 3 ครั้งประสบความสำเร็จงดงามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กรรมการหอการค้าไทยบางคนซึ่งตอนนี้ก็นั่งเป็นนายแบงก์ใหญ่โตและเคยเป็นคนสนิทใกล้ชิดจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็เลยจัดการ “ประชุมเพลิง” ให้เข้าหูจอมพลสฤษดิ์ด้วยข้อกล่าวหาหลายข้อหา ผลก็คือท่านจอมพลผ้าขะม้าแดงสั่งการด่วนลงไปที่ท่านนายกเทศมนตรีเทศบาลนครกรุงเทพฯ-ชำนาญ ยุวบูรณ์ ให้ยุติการอนุญาตให้เอกชนเช่าสวนลุมพินีจัดงานใดๆ ทั้งสิ้น เพราะต้องการจะให้หญ้าเจริญงอกงามเป็นที่เจริญหูเจริญตากับประชาชนที่เข้าไปพักผ่อนหย่อนใจ

เป็นอันว่างานแสดงสินค้านานาชาติของอรุณ แสงสว่างวัฒนะ ที่ใช้สวนลุมพินีจัดมา 3 ปีติดต่อกัน ก็จะใช้จัดกันต่อไปไม่ได้แล้ว

ดูเหมือนความคิดที่จะสร้างสถานแสดงสินค้านานาชาติเป็นการถาวรได้เกิดขึ้นในความคิดของอรุณ ตอนนี้นี่เองซึ่งอย่างแรกที่จะต้องทำก็คือการมองหาที่ดินผืนงามๆ สักแห่ง

“ผมขับรถไปตามถนนพหลโยธิน เพชรเกษม และสุขุมวิท หลายครั้ง ทั้งเช้ากลางวันเย็น เพื่อประกอบการตัดสินใจ แล้วในที่สุดผมก็เลือกแถวๆ บางปู เพราะถือว่าความเจริญนั้นมันลงมาทางทะเลมากกว่าจะขึ้นเขา” อรุณ เล่ากับ “ผู้จัดการ”

ที่ดินที่บางปูนี้มีเนื้อที่ 100 ไร่ อยู่ตรงกิโลเมตรที่ 35 ของถนนสุขุมวิทด้านหน้าติดคลองชลประทานและถนนสุขุมวิท โดยมีความกว้าง 200 เมตร ด้านซ้ายติดกับโรงงานอลูมิเนียมอัลแคน ลึกเข้าไปอีก 800 เมตรจดคลองแม่หุ่น อรุณ ตั้งชื่อที่ดินผืนนี้ว่า “สวนวัฒนา”

ตอนที่ซื้อที่ดินที่บางปูเป็นปี 2509 และคนที่ช่วยเหลือให้ความร่วมมืออย่างมากๆ จนได้ที่ดินผืนนี้มาก็คือ ชะลอ ธรรมศิริ ซึ่งขณะนั้นเป็นนายอำเภอเมืองสมุทรปราการอยู่

“ตอนนั้นก็ซื้อมาเป็นเงินแสนเท่านั้น ผมก็ลงทุนสร้างสะพาน ทำถนน ปรับที่ปลูกต้นไม้เอิกเกริกใหญ่โตมาก จนอื้อจือเหลียงสนใจแอบไปดูผมทำงาน แล้วก็ซื้อที่โอบข้างหลังที่ของผม ตอนนี้ก็กลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมบางปูของคุณอุเทน เตชะไพบูลย์ อีกคนคือเสี่ยเล็ก เจ้าของบริษัทธนบุรีพาณิชย์ตัวแทนขายรถเบนซ์ก็ไปซื้อที่ใกล้ๆ กันแล้วต่อมาก็สร้างเป็นเมืองโบราณ ความเจริญมันก็วิ่งไปหามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นจริงอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ทุกอย่าง...” อรุณกล่าวอีกตอนหนึ่ง

“สวนวัฒนา” ถูกใช้จัดงานแสดงสินค้า 2 ครั้ง แล้วก็เลิก

เพราะสถานที่ใกล้เกินไป

อรุณ แสงสว่างวัฒนะ จึงต้องเก็บความคิดเรื่องการสร้างสถานแสดงสินค้านานาชาติของเขาไว้เงียบๆ

และมาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างหนักอีกครั้งในช่วงใกล้ๆ นี้

ก่อนหน้าที่อรุณจะจัดพิมพ์เอกสาร 15,000 ชุด แจกจ่ายออกไปยังบุคคลในวงการต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนนั้น เขาได้มอบให้บริษัทอินเตอร์ดีไซน์ของเจตกำจร พรหมโยธี ออกแบบสิ่งที่จะต้องก่อสร้างเอาไว้แล้วคร่าวๆ

ถ้าใครได้เห็นแบบก็อาจจะตกใจเพราะลองคิดคำนวณดูก็น่าจะเป็นโครงการที่ต้องใช้ทุนนับเป็นร้อยล้านบาทขึ้นไป

แต่อรุณกลับยืนยันว่าใช้ทุนอย่างมากไม่เกิน 30 ล้านบาท เท่ากับทุนจดทะเบียนของบริษัทที่กำลังจะตั้งขึ้นและขณะนี้เปิดให้จองหุ้นแล้ว

“แบบที่ออกมามันเป็นโครงสร้างที่ครบถ้วนแล้ว แต่ในทางปฏิบัติเราสามารถทยอยสร้างไปได้เป็นเฟสๆ อย่างเช่นเฟสแรกนี้ก็สร้างเฉพาะถนนที่จอดรถ สะพานคอนกรีต อาคารศูนย์กลางและฮอล 1 กับฮอล 2 ที่ใช้แสดงสินค้า เจตนาของผมนั้นต้องการให้โครงการนี้ มันสตาร์ตให้ได้เสียก่อน และทำให้ทันปี 2530 เพื่อที่เราจะได้ใช้เงื่อนไขที่ปี 2530 เป็นปีเฉลิมฉลองในหลวงมีพระชนม์ 60 พรรษา จัดงานใหญ่ขึ้นมาเป็นครั้งแรก จากนั้นปีต่อๆ ไปเมื่อมีเงินมีทองแล้วก็สร้างเพิ่มไปเรื่อยๆ” อรุณชี้แจงผ่าน “ผู้จัดการ”

นอกจากนี้ค่าที่ดินก็ไม่ต้องไปหาซื้อให้เปลืองเงิน เพราะอรุณตั้งใจแน่นอนแล้วที่จะให้เช่าที่ดินทั้ง 100 ไร่ของ “สวนวัฒนา” ระยะเวลายาวนานแค่ไหนก็ได้ ค่าเช่าจะให้เท่าไรก็ยังตกลงกันได้อีกด้วย

บริษัทส่งเสริมการแสดงสินค้านานาชาติขณะนี้ยังไม่ได้มีการจดทะเบียนบริษัท เพราะความตั้งใจของอรุณก็คือต้องการให้บุคคลหลายๆ ฝ่ายได้แสดงความจำนงเข้าร่วมถือหุ้นเสียก่อน จากขั้นนี้แล้วอรุณจะดูรายชื่อผู้จองหุ้นและเชิญบุคคลจำนวนหนึ่งให้มาเป็นคณะผู้ก่อตั้ง แล้วจึงจะไปถึงขั้นดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท แต่งตั้งกรรมการและเริ่มดำเนินโครงการเป็นขั้นตอนสุดท้าย

“เมื่อตั้งกรรมการบริษัทแล้ว ก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการบริษัทที่จะจัดการกันต่อไป จะเอาใครมาบริหารหรือจะทำอย่างไรก็ว่ากันไป ผมก็คงเป็นเพียงผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง ผมถือว่าถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว มันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ผมหมดภาระแล้ว” อรุณเปิดเผยความในใจ

สำหรับอรุณแล้ว ตอนนี้ก็รอผลอยู่ 2 อย่าง

อย่างแรกก็คือ ความสนใจของบุคคลวงการต่างๆ ที่จะแสดงความจำนงเข้ามาร่วมถือหุ้น

ส่วนอีกอย่างก็คือการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งอรุณ แสงสว่างวัฒนะ มีหนังสือไปถึงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แล้วหลายฉบับ

ให้ตายเถอะ...อย่างแรกอรุณไม่เป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย

แต่อย่างหลังนี่สิ มีแต่คนทำ “ซื่อบื้อ” ไม่รู้ไม่ชี้กันทุกคน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.