ช่วงกึ่งพุทธกาล หากคนในวงการธุรกิจหนุ่มน้อยยุคนั้นไม่รู้จัก สุริยน ไรวา
ก็นับว่าช้าไปหลายก้าว เพราะเขาคือนักธุรกิจไทยผู้ยิ่งยงคนหนึ่งที่ปลูก “หน่อ”
ธุรกิจหลายแขนงในประเทศไทย ตั้งแต่กิจการธนาคารมาจนถึงโรงงานแป้งสาลีแห่งแรกในประเทศไทย
เกือบทุกอย่างก็ว่าได้ช่วงที่สุริยน มีชีวิตอยู่เขาไม่ค่อยจะได้ชื่นชมความสำเร็จ
ตรงกันข้ามเขากลับ “ตรอมใจ” กับ “ไอเดีย” ของเขาที่ลุ้นเท่าไรก็ไม่ขึ้น
และจากโลกไปโดยไม่รู้ว่ากิจการที่เขาเริ่มนั้นหลายอย่างประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา
บริษัทยูไนเต็ดฟลาวมิลล์เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
ยูไนเต็ดฟลาวมิลล์ (ยูเอฟเอ็ม) เป็นโรงงานผลิตแป้งสาลีแห่งแรกของประเทศไทย
สุริยน ไรวา ก่อตั้งเมื่อปี 2504
ช่วงเวลานั้น ยิด วาโฮกำลังติดลมบนสร้างธุรกิจของเขาในประเทศไทย เช่น ตั้งโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังรายแรกของประเทศไทย
เขาทั้งสองจึงเป็นเพื่อนสนิทกัน
สุริยน ไรวา ลุ้นยูไนเต็ดฟลาวมิลล์ถึง 3 ปี แต่ก็ไม่สามารถเปิดดำเนินกิจการได้จนต้องมาขอให้ยิดวาโฮซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจใกล้เคียงกันช่วย
ยิดวาโฮเคยกล่าวไว้ว่า “ปี 1964 (2507) ผมซื้อกิจการยูไนเต็ดฟลาวมิลล์จากคุณสุริยน ไรวา
ซึ่งตอนนั้นมีปัญหาการดำเนินงาน”
ยิดวาโฮ มิได้เข้าไปคนเดียวเพราะการลงทุนมากถึงประมาณ 20 ล้านบาททีเดียว
เขาจึงชักชวนเพื่อนๆ มาร่วมทุน ผู้อยู่วงการแป้งสาลีเล่าว่า สุริยน ไรวา
เองก็ยังถือหุ้นอยู่ในนามของธนาคารเกษตร (ธนาคารนี้ต่อมาร่วมกับธนาคารมณฑลกลายเป็นธนาคารกรุงไทย)
คนหวั่งหลีได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทยิดวาโฮ จึงได้รับการชักชวนด้วย หวั่งหลีซึ่งเริ่มจับธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังสนใจธุรกิจนี้มากจึงโดดเข้ามาอย่างเต็มตัวถือหุ้นค่อนข้างมาก
คนอื่นๆ ได้แก่ มงคล ศิริสัมพันธ์ เชาว์ เชาว์ขวัญยืน
เมื่อยิดวาโฮเข้ามา TAKEOVER โดยเป็นผู้บริหารงานเอง กิจการยูไนเต็ดฟลาวมิลล์จึงเดินเครื่องได้
ปี 2510 ยิดวาโฮต้องจากประเทศไทย เขาก็ได้ มร.เย็นชาวฮ่องกงมาเป็นผู้จัดการโรงงาน
ยูเอฟเอ็มเดินเครื่องปี 2507 กำลังการผลิตครั้งแรก 150 ตัน/วัน โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2507-2513 กิจการเจริญขึ้นเป็นลำดับ ขยายกำลังการผลิตเป็นระยะๆ เป็น 220 ตันในปี 2519 และ 240 ตันในปี 2522 และได้ตั้งร้านเบเกอรี่ขึ้นจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชนทั่วไปและกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ รับรองคุณภาพแป้งสาลีเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2519
ผลงานเหล่านี้ต้องยกให้ยิดวาโฮ
เพราะยิดวาโฮ ต้องไปเป็นเอกอัครราชทูตให้กับรัฐบาลสิงคโปร์ การบริหารยูเอฟเอ็ม
จึงไม่สามารถกระทำได้ต่อเนื่องและดีพอ เขาก็เริ่มจะไม่แน่ใจในกิจการตั้งแต่นั้นมาเนื่องจากบริษัทนี้มีผู้ถือหุ้นจากหลายกลุ่ม
(แตกต่างจากไทยวาซึ่งเขาปลุกปั้นมากับมือ และผู้บริหารไทยวาขณะนั้นเป็นคนที่เขาทรมานและไว้เนื้อเชื่อใจ)
ห้วงเวลานั้นสงครามเวียดนามรุนแรงและยืดเยื้อ ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทยมาก
และต่อมาเมื่อคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะสหรัฐฯ ปั้นทฤษฎี “โดมิโน”
ขึ้นมาข่มขวัญซ้ำ ทฤษฎีบทนี้ระบุว่าประเทศไทยคือเป้าหมายถัดมาของคอมมิวนิสต์
“การบริหารยูเอฟเอ็มช่วงนั้นมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลด้วย”
แหล่งข่าวผู้รู้เรื่องดีกระซิบเป็นนัย
ยิดวาโฮจึงตัดสินใจจะวางมือจากยูไนเต็ดฟลาวมิลล์
ยูเอฟเอ็มมีกิจการไซโลให้เช่าด้วย ลูกค้ารายสำคัญคือบริษัทไทยเซ็นทรัลเคมีของกลุ่มศรีกรุงวัฒนา
ขณะนั้นสว่าง เลาหทัย เป็นผู้บริหารใหญ่แล้ว และดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงที่เสี่ยหว่างกำลังพุ่งแรงแทงตลอดเสียด้วย
“ครั้งแรกเสี่ยหว่างมีความคิดเพียงต้องการจะซื้อไซโลเท่านั้น เพราะจะใช้เป็นที่เก็บปุ๋ย”
การเจรจาดำเนินระยะหนึ่ง จึงตกลงกันได้ “ไม่รู้เหมือนกันว่า มร.เย็น
ผู้จัดการโรงงานสนิทสนมกับเสี่ยหว่างขนาดไหน แต่ที่รู้ๆ เขาคือตัวกลางในการเจรจา
และเป็นคนสำคัญที่ทำให้นายห้างโฮตัดสินใจขายหุ้นส่วนของแกออกไปซึ่งต่อมา
มร.เย็นคนนี้ก็ยังคงเป็นผู้จัดการโรงงานต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง” คนเก่าไทยวาตั้งข้อสังเกต
ยิดวาโฮ ขายหุ้นของตนทั้งหมดประมาณ 20% ให้สว่าง เลาหทัย ในปี 2522 ท่ามกลางการโจษจันว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
“คุณสว่างแกโชคดีไป” พิทักษ์ บุญพจน์สุนทร อดีตเลขาส่วนตัวยิดวาโฮ
คอมเมนต์สั้นๆ โดยออกตัวว่ายูเอฟเอ็มเป็นกิจการส่วนตัวของยิดวาโฮไม่เกี่ยวกับไทยวาเท่าใดนัก
บางกระแสข่าวระบุว่าตอนนั้นธนาคารกรุงไทยและธนาคารกรุงเทพ เริ่มเข้ามาหนุนช่วยสว่าง
เลาหทัย แล้วเนื่องจากยิดวาโฮขายหุ้นใหม่ๆ ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดก็ยังเป็นธนาคารกรุงไทย
ซึ่งได้รับโอนมาจากสุริยน ไรวา แต่ในเวลาต่อมาหุ้นเหล่านั้นได้หลุดมาสู่มือสว่าง
เลาหทัย นักปั่นหุ้นตัวยงเกือบทั้งหมด
ยูไนเต็ดฟลาวมิลล์ เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2519
ความฝันของหวั่งหลีที่จะบุกอุตสาหกรรมจึงดับมอดไปฉับพลัน ถ้าเป็นคนอื่นยังพอทำเนา
แต่เมื่อมาเจอเสี่ยหว่างซึ่งเมื่อเขาบริหารครั้งแรกกิจการที่ทำกำไรจำนวนมากลดลงทันที
ขณะเดียวกันก็นำยูไนเต็ดฟลาวมิลล์ไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มศรีกรุงวัฒนาอีกหลายบริษัทอย่างยากที่หวั่งหลีจะเข้าใจ
เขาจึงตัดสินใจขายหุ้นของเขาออกไปให้รู้แล้วรู้รอด
เพื่อนหวั่งหลีโกรธยิดวาโฮเอามากๆ ในขั้นแรกที่ไม่ยอมบอกว่าจะขายหุ้นเลยสักคำ
แต่อย่างไรก็ตาม ชั่วคราวเท่านั้น
กิจการยูไนเต็ดฟลาวมิลล์จึงเป็นกิจการของกลุ่มศรีกรุงวัฒนาที่วัฒนาถาวรมาจนทุกวันนี้
เป็นเจ้ายุทธจักรอุตสาหกรรมแป้งสาลีของเมืองไทยที่ไร้เทียมทานจริงๆ
กาลต่อมากลุ่มศรีกรุงฯ ไม่ได้หยุดเพียงข้าวสาลีเท่านั้น วันนี้เขาได้รุกคืบมาสู่อุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังที่ไทยวาเป็นเจ้ายุทธจักรอยู่อีกด้วย
และที่สำคัญปัจจุบันนี้เขาคือคู่แข่งเพียงรายเดียวที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับไทยวาเสียด้วย