บิ๊กโตโยต้าโปรยยาหอมไทย ชูลำดับความสำคัญระดับโลก หลังสามารถสร้างยอดขายเติบโตต่อเนื่องจนล่าสุดเบียดออสเตรเลียร่วง
ผงาดขึ้นแท่นเบอร์ 3 ของโลกแทน ประกาศพร้อมทุ่มการช่วยเหลือทุกอย่าง หลังจากย้ายฐานการผลิตมาไทย
ภายใต้โครงการ IMV ส่งออกกระบะ-รถอเนก ประสงค์ทั่วโลก
นายฟูจิโอะ โช ประธานบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น หรือทีเอ็มซี
ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายของทีเอ็มซีที่มี ต่อโตโยต้าในประเทศไทยว่า ไทยเป็นตลาดที่น่าสนใจและมีความสำคัญอย่างมากในภูมิภาคนี้
เนื่อง จากยอดจำหน่ายรถยนต์ของโตโยต้า มีอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี
ที่สำคัญยังคงครองอันดับหนึ่งมาตลอด
ล่าสุดตัวเลขจำหน่ายรถยนต์ใน 9 เดือนที่ผ่าน มา โตโยต้ามียอดจำหน่ายมากที่สุดคือ
133,794 คัน ขณะที่ปีที่แล้วในช่วงเดียวกันมีเพียง 91,586 คัน เหนือ อื่นใดตัวเลขดังกล่าวมากกว่ายอดขายรถโตโยต้าที่ทำ
ได้ทั้งปีของปีที่แล้ว 130,100 คัน
ซึ่งจำนวนยอดขาย 133,794 นั้นส่งผลให้ โตโยต้า ประเทศไทย ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ
3 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา และแคนาดา แซงหน้าออสเตรเลีย ที่เคยครองอันดับ 3 อยู่
ดังนั้นเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด โตโยต้า มอเตอร์ จึงมีนโยบายที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถ
ยนต์เพื่อขายในภูมิภาคนี้ ด้วยการย้ายฐานการผลิตรถปิกอัพมายังประเทศไทย ในโครงการ
IMV (Innovative and InternationlMulti-Purpose Vehicle) และจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา
R&D ด้วยมูลค่าการลงทุนทั้งสองโครงการกว่า 33,000 ล้านบาท
"ทีเอ็มซีถือว่าไทยเป็นประเทศที่มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะการตั้ง R&D
ในไทยเป็นเครื่องพิสูจน์ ให้เห็นได้อย่างชัดเจน เพราะทั่วโลกโตโยต้ามีศูนย์ วิจัยและพัฒนา
เพียงแค่ 3 แห่งเท่านั้น คือ สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และล่าสุดไทย ซึ่งเป็น
แห่งที่ 4 ในโลก"
นายโช กล่าวเพิ่มว่า แม้ว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพในการผลิตรถยนต์สูง แต่ในส่วนของผู้ผลิต
ชิ้นส่วนนั้นก็จำเป็นต้องมีการพัฒนาศักยภาพให้เทียบ เท่ากับระดับสากล ทั้งนี้ก็เพราะโตโยต้ามีนโยบายที่จะใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศเป็นหลัก
บวกกับโครง การประกอบรถอเนกประสงค์โดยใช้พื้นฐานของกระบะหรือ IMV รุ่นใหม่จะต้องจำหน่ายในตลาดต่าง
ประเทศ นอกเหนือจากตลาดเมืองไทย ดังนั้นชิ้นส่วน ที่นำมาประกอบรถต้องมีมาตรฐานเหมือนกับบริษัทแม่
"โครงการ IMV จึงถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการ ถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ ของโตโยต้าจากประเทศญี่ปุ่นสู่เมืองไทย"
สำหรับการทำตลาดรถยนต์เครื่องยนต์ไฮบริด นั้นเป็นนโยบายของบริษัทแม่อยู่แล้ว
ที่จะรุกตลาดทั่วโลก แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการยอมรับของประเทศนั้นๆ ด้วย ถ้าความต้องการของลูกค้ามีทางโตโยต้า
ก็พร้อมที่จะส่งรถไฮบริดเข้าไปจำหน่าย
ผลจากการเตรียมความพร้อมของโตโยต้าทั้งหมด ทำให้โตโยต้า ในไทย วางเป้าหมายมีส่วนแบ่ง
การตลาดอยู่ที่ประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ 32 เปอร์เซ็นต์
และหากเทียบกับช่วงเวลาที่ตลาดมีสถิติสูงสุดในปี 2539 โตโยต้ามีส่วนแบ่งการตลาดเพียง
28 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น