1+1 ต้องมากกว่า 2

โดย ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์
นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

การประกาศรวมกิจการกันของ บล.เอบีเอ็น แอมโร เอเชีย และ บล.แอสเซ็ท พลัส เป็นการบ่งบอกแนวโน้มที่แจ่มชัดว่า ก่อนถึงเดือนมกราคม 2548 บริษัทหลักทรัพย์ในระบบทั้งหมดจะต้องลดน้อยลงเหลือไม่ถึง 37 แห่ง

ลูกค้าที่เทรดหุ้นอยู่กับโบรกเกอร์เบอร์ 8 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอบีเอ็น แอมโร เอเชีย (AST) น่าจะพอใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้รับทราบว่าโบรกเกอร์ที่เขาใช้อยู่ กำลังมีแผนจะควบรวมกิจการกับ บล.แอส เซ็ท พลัส (ASSET) เพราะนั่นเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสในการทำกำไรให้เขาเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เคยได้รับจากการเทรดหุ้นในกระดานเป็นหลัก โดยจะได้รับกำไรจากสิทธิในการซื้อหุ้นจอง (Initial Public Offering : IPO) เข้ามาอีก

"การรวมกิจการกันของเรา จะเป็นลักษณะ 1+1 ที่มีผลลัพธ์มากกว่า 2" ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร ASSET ประกาศในวันแถลงข่าวการควบรวมกิจการ เมื่อต้นเดือนก่อน

ทั้ง AST และ ASSET ต่างมีจุดเด่นในการทำธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน AST มีความโดดเด่นในเรื่องการเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้น ครองส่วนแบ่งตลาดมูลค่าการซื้อขายหุ้นบนกระดานเป็นอันดับ 2 รองจาก บล. กิมเอง

ส่วน ASSET ถือเป็น บล.ที่มีความชำนาญเรื่องการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาด ครองส่วนแบ่งการเป็นที่ปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้น IPO ถึง 57% เป็นอันดับ 1 ของ บล.ที่ทำธุรกิจ นี้ทั้งระบบ

ที่สำคัญคือหุ้น IPO ที่ ASSET เป็นที่ปรึกษาและแกนนำในการอันเดอร์ไรต์ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ถูกจัดให้เป็นหุ้นบลูชิป และเมื่อหุ้นตัวนั้นได้เข้ามาซื้อขายในตลาดแล้ว โอกาสที่ลูกค้าซึ่งได้สิทธิ์ในการซื้อหุ้นจะได้รับกำไร มีมากกว่าขาดทุน

ขณะที่ AST แม้จะเป็นโบรกเกอร์รายใหญ่ มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายมากกว่าเดือนละ 10% แต่ธุรกิจนี้ก็กำลังจะพบกับจุดปรับเปลี่ยนที่สำคัญ เมื่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำลังจะยกเลิกการกำหนดอัตราค่านายหน้าขั้นต่ำในเดือนมกราคม 2548

นโยบายนี้จะมีผลทำให้ บล.ที่เน้นแต่ธุรกิจการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2543-2544 ซึ่งมีผลให้หลายบริษัทต้องขายใบอนุญาตทิ้ง แล้วหันไปทำธุรกิจอื่น

AST ก็ไม่แตกต่างจากบริษัทเหล่านี้ เพราะทุกวันนี้รายได้หลักของ AST คือค่านายหน้าในการซื้อขายหลักทรัพย์ ทางออกที่ดีที่สุดของ AST หากไม่รีบหาธุรกิจอื่นทำเพิ่ม เพื่อกระจายสัดส่วนรายได้ ก็ต้องหาพันธมิตรใหม่ ที่จะสามารถช่วยเสริมธุรกิจซึ่งกันและกัน

AST เลือกประการหลัง

การรวมกิจการกันของ AST และ ASSET มีสะพานเชื่อมสำคัญอยู่ 2 จุด

จุดแรก ทั้ง AST และ ASSET มีธนาคารกรุงเทพ และคนในตระกูลโสภณพนิช ร่วมเป็นผู้ถือหุ้น โดย AST นั้น ธนาคารกรุงเทพถืออยู่ในสัดส่วน 9.95% นอกจากนี้ยังมีบริษัทเอเซียเสริมกิจ โฮลดิ้ง คัมปะนีของตระกูลโสภณพนิช ถืออยู่อีก 10.28% ชาตรี โสภณพนิช พ่อของชาลี โสภณพนิช ประธานกรรมการ AST ถืออยู่ 2.13% และสิริญา โสภณพนิช 2.05% ไม่นับรวมบัณฑร ลิ้วประเสริฐ คนเก่าคนแก่ของชาตรี ที่มีส่วนถือหุ้นอยู่ด้วย 0.88%

ส่วน ASSET มีธนาคารกรุงเทพ ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 7.50% และตัวของชาตรีก็ยังถือหุ้นในนี้ด้วย 8.22%

การเจรจาตกลงที่จะรวมกิจการกันในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงไม่น่าเป็นปัญหา โดยเฉพาะธนาคารกรุงเทพ ที่ย่อมต้องมองเห็นถึงอนาคตของ AST ภายหลังเดือนมกราคม 2548 อย่างแจ้งชัดแล้ว

สะพานเชื่อมจุดที่ 2 น่าจะอยู่ที่ตัวของ ดร.อุดมศักดิ์ ชาครียวณิชย์ กรรมการผู้จัดการ ASSET

"จุดเริ่มต้นของการควบรวมกิจการกันครั้งนี้ เกิดจากการพูดคุยกันของผู้บริหาร ของทั้ง 2 บริษัท และเห็นพ้องต้องกันถึงแนวทางนี้" เป็นคำตอบของ ดร.ก้องเกียรติ ต่อคำถามของผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่ถามในวันแถลงข่าวว่า Deal นี้ระหว่าง AST กับ ASSET ใครเป็นผู้เริ่มต้นชักชวนกันก่อน

ดร.อุดมศักดิ์เป็นเพื่อนร่วมรุ่นในคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับดร.ก้องเกียรติ ก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งใน ASSET เขาเคยเป็นรองประธาน บริหารอาวุโส ของบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STECON)

แต่ก่อนที่ ดร.อุดมศักดิ์จะเข้าไปทำงานใน STECON เขาเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศ ให้กับ AST ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเพียง บล.เอเชีย อยู่ถึงกว่า 3 ปี ทำหน้าที่ดูแลลูกค้าเทรดหุ้นที่เป็นนักลงทุนต่างประเทศ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นผู้ให้ความเห็นเกี่ยวกับภาวะการซื้อขายหุ้นขณะนั้นในแต่ละวัน ในนาม บล. เอเชียกับผู้สื่อข่าว

การรวมกิจการกันครั้งนี้ใช้ลักษณะ ที่ให้ AST เป็นผู้เข้าไปซื้อ ASSET โดยการแลกหุ้น ผู้ถือหุ้นของ ASSET 1 หุ้น สามารถ แลกเป็นหุ้นของ AST ได้ 1.083333 หุ้น และหลังจากการรวมกิจการ มูลค่าของ AST จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 12,000 ล้านบาท

ส่วนโครงสร้างการบริหาร ชาลี โสภณพนิช จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ (Chairman) ดร.ก้องเกียรติเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ประทีป ยงวณิชย์ เป็นกรรมการผู้อำนวยการ ดูแลธุรกิจหลักทรัพย์ ดร.อุดมศักดิ์เป็นกรรมการผู้อำนวยการ ดูแลธุรกิจวาณิชธนกิจ

ถือเป็นโครงสร้างของบริษัทหลักทรัพย์ที่สามารถทำธุรกิจได้อย่างครบวงจร ทั้งทางด้าน Trading และ Investment Banking ที่มีทั้งธนาคารกรุงเทพ และธนาคาร ABN Amro คอยหนุนหลัง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.