ความซับซ้อนของการทำธุรกิจที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการชำระราคา
รูปแบบการจ่ายเงินใหม่ๆ ได้ถูกคิดค้นขึ้นมา จึงทำให้แบงก์ชาติจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้
คงเป็นเรื่องที่เหนื่อยน่าดู หากคู่ค้าที่เป็นผู้ขายสินค้าใช้บัญชีธนาคารคนละธนาคารกับเรา
เพราะเมื่อเราต้องการจะจ่ายเงินค่าสินค้าที่ซื้อมาเป็นเงินสด เราจำเป็นต้องเดินทางไปถอนเงินออกจากธนาคารของเรา
แล้วเดินทางต่อไปยังธนาคารของคู่ค้า เพื่อนำเงินไปใส่ไว้ในบัญชีของเขา
หรือหากเมื่อเราสมัครเข้าไปทำงาน ในบริษัทที่ใช้บริการอยู่กับธนาคารกสิกรไทย
เราจำเป็นต้องเปิดบัญชีไว้กับธนาคารกสิกรไทยเพื่อใช้เป็นบัญชีรับเงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกบัญชีหนึ่ง
ทั้งๆ ที่เรามีบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์อยู่แล้ว
ในขณะที่พัฒนาการทางเทคโนโลยี ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบสถาบันการเงิน
ทำให้หลายคนเคยคิดฝันไว้ว่าสักวันหนึ่ง คนเราสามารถมีบัญชีไว้กับธนาคารใดธนาคารหนึ่งเพียง
1 บัญชี ก็จะสามารถทำรายการได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการรับหรือจ่ายเงินออกเพื่อชำระค่าสินค้า
และสาธารณูปโภค โดยวิธีการตัดตัวเลข โดยไม่จำเป็นต้องนำเงินสดออกมาถือไว้
ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อตัวผู้ถือเงินเอง
อย่างน้อยวิโรจน์ นวลแข กรรมการ ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ก็คิดเช่นนี้ และกำลังพยายามพัฒนาระบบเทคโนโลยีภายในธนาคารให้สามารถไปถึงจุดดังกล่าว
ความคิดความฝันของวิโรจน์อาจตรงกับนายธนาคารอีกหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารซึ่งมีบทบาทเป็นผู้กำกับอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย
ระบบ SMART : System for Managing Automated Retail Funds Transfer จึงถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ให้ความฝันดังกล่าวกลายเป็นจริง
"SMART เป็นระบบโอนเงินรายย่อยที่ทำระหว่างธนาคาร ซึ่งเดิมแต่ละธนาคารก็มีให้บริการกับลูกค้าอยู่แล้ว
แต่ทำภายในธนาคารเดียวกันเอง แต่ระบบนี้สามารถทำรายการข้ามธนาคารกันได้"
สายัณห์ ปริวัตร ผู้อำนวยการอาวุโส สายระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความหมายถึงระบบ
SMART กับ "ผู้จัดการ"
SMART ถือเป็นพัฒนาการที่ต่อเนื่องมาจากระบบ BAHTNET : Bank of Thailand
Automated High-value Transfer Network ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เริ่มนำมาใช้เมื่อปี
2538
แต่ BAHTNET เป็นระบบสำหรับใช้กับการโอนเงินรายใหญ่ที่มีมูลค่าสูง ขณะที่
SMART ได้ถูกออกแบบมาไว้สำหรับการโอนเงินที่มีวงเงินย่อยลงไป โดยจำกัดไว้ไม่เกินรายการละ
500,000 บาท
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เริ่มพัฒนาระบบ SMART มาตั้งแต่ปี 2540 โดยวางคอนเซ็ปต์ไว้ว่าการโอนเงินรายย่อย
ระหว่างธนาคารจะสามารถทำได้ทั้งด้านเครดิตและเดบิต แต่ปัจจุบันระบบนี้ยังไม่สมบูรณ์มากนัก
เพราะสามารถทำได้เพียงด้านเครดิตด้านเดียวและการทำงานยังไม่เป็นลักษณะ Realtime
เพราะต้องแจ้งการทำรายการล่วงหน้า 1-7 วัน และธุรกรรมที่สามารถทำผ่านระบบนี้ก็ถูกจำกัด
ไว้เพียงแค่การสั่งจ่ายเงินเดือนพนักงาน การจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
เพียง 2 ธุรกรรมหลักเท่านั้น
โดยบริษัทสามารถจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานผ่านระบบ SMART โดยที่พนักงานไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีไว้กับธนาคารเดียว
แต่สามารถจ่ายให้กับบัญชีธนาคารใดก็ได้ เช่นเดียวกับการจ่ายเงินปันผล ซึ่งบริษัทผู้จ่ายปันผลสามารถจ่ายผ่านระบบนี้
เงินปันผลก็จะเข้าไปในบัญชีของผู้ถือหุ้น โดยที่ไม่จำกัดธนาคารเช่นกัน
"เรากำลังขอให้ธนาคารเข้ามาช่วยทำในเรื่องเดบิต คือ การตัดเงินจากบัญชีของลูกค้า
เพื่อนำมาชำระค่าสาธารณูปโภค ค่าเบี้ยประกัน หรือค่าโทรศัพท์มือถือ แต่บางธนาคารยังไม่พร้อม
เพราะอยู่ระหว่างการศึกษาข้อดีข้อเสีย รวมถึงเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีภายใน
เพราะแม้ปัจจุบัน หลายธนาคารจะมีบริการให้ลูกค้าสามารถจ่ายค่าสาธารณูปโภคผ่านการตัดบัญชี
แต่ก็ทำกันได้ภายในธนาคารเดียวกัน การสั่งตัดเงินข้ามธนาคาร ยังมีหลายแห่งที่ไม่มั่นใจ
โดยเฉพาะเรื่องของระบบบัญชีที่แต่ละธนาคารมีรายละเอียดต่างกัน" สายัณห์กล่าว
ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมีแนวคิดที่จะผลักดันให้ระบบ
SMART เป็นการดำเนินงานกันเองระหว่างธนาคาร โดยอาจตั้งเป็นบริษัทกลางขึ้นมารับผิดชอบ
เช่นเดียวกับระบบ ATM Pool
"ตอนนี้แต่ละธนาคารก็เริ่มมีการคุยกันบ้างแล้ว คิดว่าภายใน 2 ปี ระบบนี้น่าจะได้ข้อสรุป"
ซึ่งหากเป็นดังว่า ระบบ SMART ก็จะเข้ามาเสริมช่องว่างของการโอนเงินระหว่างธนาคาร
ที่จะสามารถทำได้ในทุกขนาดของวงเงิน จากปัจจุบันที่การโอนเงินรายย่อยสามารถทำได้โดยผ่านเครือข่ายเครื่อง
ATM ในระบบ ORFT : Online Retail Funds Transfer แต่ถูกจำกัดไว้ให้สามารถทำได้ในวงเงินไม่เกิน
20,000 บาท และการโอนเงินรายใหญ่ โดยผ่านระบบ BAHTNET
"แบงก์ชาติต้องเข้ามามีบทบาทดูแลเรื่องนี้ เพื่อปิดช่องว่างให้สถาบันการเงินสามารถโอนเงินข้ามกันเองได้
เหมือนมีสะพานเชื่อม เพราะธุรกิจทุกวันนี้มันขยายตัวมากขึ้น ระบบนี้จะเสริมให้การค้าขายสามารถโอนจ่ายเงินกันได้อย่างสะดวก
คล่องตัว และปลอดภัยมากขึ้น"
ที่สำคัญ หากการโอนเงินระหว่างธนาคารสามารถทำได้โดยไม่มีข้อจำกัดแล้ว ในอนาคตการใช้เช็คและเงินสดก็จะลดปริมาณลงไปเองโดยปริยาย
ซึ่งทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถควบคุมปริมาณเงินในระบบได้ง่ายขึ้น และลดต้นทุนในการพิมพ์ธนบัตรในแต่ละปีลงไปได้อีกมาก