"ถ้านึกปกอะไรไม่ออก ก็จะบอกลูกเกด เราสนิทกันและไปมาหาสู่กันบ่อย เวลาไปด้วยกันเป็นแก๊ง
7-10 คนจะไม่คุยเรื่องงานกัน"
ความสัมพันธ์ของนางแบบที่มีชื่อเสียงที่สุดกับช่างภาพแฟชั่นที่มีผลงานสร้างเสียงฮือฮา
กับสังคมมากที่สุด เป็นความสัมพันธ์ของมืออาชีพและเพื่อนสนิท แต่อภิสิทธิ์ในแง่การทำงาน
อมาตย์รับรองว่าไม่มี เขาปฏิบัติต่อนางแบบทุกคนเท่าเทียมกันหมด แม้แต่ในเรื่องค่าตัวตามเนื้องานเป็นมาตรฐาน
ชุดปกติหมื่นห้า
"ใหญ่" อมาตย์ นิมิตภาคย์ ปัจจุบันเขาเป็นบรรณาธิการแฟชั่นให้กับนิตยสารอิมเมจ
นิตยสารที่เป็นแรงขับเคลื่อนของสังคมไทยในด้านแฟชั่นได้มีพลังมากที่สุดเล่มหนึ่ง
ด้วยรูปแบบของแฟชั่นที่เน้นนิมิตแห่งเพศหญิง
ลูกเกดเริ่มถ่ายแบบกับอิมเมจตั้งแต่ปี 1993 เรื่อยมาทุกปี โดยขึ้นปกแรกเมื่อปี
1995 และของทุกปีจนถึงปัจจุบัน เว้นปี 96 กับปี 99 ส่วนในปี 2000 เธอขึ้นปกอิมเมจสองเล่มคือเดือนมีนาคม
และสิงหาคม 2 ครั้งในหนึ่งปี เมทินีเป็นนางแบบที่อมาตย์ต้องใช้มากที่สุด
หากดูจากภาพปกที่เธอทำกับอิมเมจมาทั้งสิ้น 10 ปก จะมากกว่านางแบบคนอื่นที่อมาตย์ใช้บ่อยๆ
อมาตย์เคยเขียนลงบนคำนิยมในหนังสือของเมทินี (Metinee's Secret) ว่า "เธอเป็นนางแบบ
ที่เพอร์เฟกต์ที่สุดของวงการแฟชั่นเมืองไทย"
ภาพหวือหวาจากฝีมือการถ่ายภาพของอมาตย์ และภาพที่พูดถึงประเด็นทางเพศที่แตกต่างจากนิตยสารเล่มอื่นๆ
ทำให้สถิติจำหน่ายหมดภายในไม่ถึงอาทิตย์ที่วางแผงในหลายฉบับ ในขณะที่บางเล่มมีขายแถวตลาดจตุจักรด้วยราคาที่ถีบตัวสูงขึ้นจาก
90 จนถึง 500-1,000 หรือ 2,000 บาทในบางครั้ง
นิตยสารอิมเมจแบ่งสัดส่วนให้ความสำคัญต่อแฟชั่นมากถึง 36% เมื่อเทียบกับเนื้อหา
(คำรณ ปราโมช ณ อยุธยา เคยเล่าถึงการแบ่งสัดส่วนของเนื้อหา 55% แฟชั่น 20%
ที่เหลือเป็น โฆษณาและอื่นๆ) จำนวนสัดส่วนของแฟชั่นที่มากกว่า 1 ใน 3 ของเนื้อหาทั้งหมด
เป็นตัวสะท้อนให้การทำงานของอิมเมจ จำเป็นต้องใช้แฟชั่นเป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนที่สำคัญของหนังสือ
และเป็นกลยุทธ์ในการก้าวมาสู่หนังสือแฟชั่นชั้นนำของเมืองไทย ก่อนที่จะมีการนำเข้า
หนังสือหัวนอกอย่าง Cosmopolitan, Elle, Cleo เข้ามาในเมืองไทย
ธีมของภาพอยู่ที่คอนเซ็ปต์แต่ละเล่มของบรรณาธิการอิมเมจมีความคิดสำคัญในการนำเสนอแฟชั่นเซ็กซี่ขึ้นปก
โดยมีแฟชั่นเป็นจุดขาย เน้นที่มีความโดดเด่นและแรงพอที่จะเรียกความสนใจของคนอ่านได้เมื่ออยู่บนแผง
ตลอด 16 ปีที่อิมเมจยึดมั่นในสไตล์แฟชั่นอย่างที่ว่ามาอย่างต่อเนื่อง จนสร้างผลงานที่เป็น
talk of the town ได้ในหลายปก โดยเฉพาะงานของลูกเกดที่ถ่ายให้อิมเมจถือเป็นงานที่ได้ผลตอบรับอย่างดีทุกครั้ง
ประสบการณ์ผลงานการถ่ายภาพของอมาตย์เป็นที่รู้กันในวงการว่า ถ้าได้รับการติดต่อก็ไม่จำเป็นที่ต้องถามเลยว่าเป็นภาพแนวไหน
อมาตย์เลือกที่จะนำความเซ็กซี่ของผู้หญิงออกมาตีแผ่อย่างมีศิลปะ ด้วยสีสันฉูดฉาด
สไตล์ฟ้า แดง ดำ ขาว เป็นสีที่เขามักใช้
ความเป็นมืออาชีพของช่างภาพย่อมที่จะถูกการันตีโดยผลงานของตัวเอง "อยู่ที่คนดู"
เขาบอกกับ "ผู้จัดการ"
ช่างภาพที่มีฝีมือย่อมคู่กับนางแบบที่มีความสามารถ ความเป็นมืออาชีพของทั้งสองคนจึงเกื้อหนุนงานออกมาตรงคอนเซ็ปต์
มากที่สุด
"ถ้าเป็น Professional จริงๆ พอทรงเครื่องแล้วนางแบบเขาจะไหลไปตามที่เขาแต่งตัวมา
ซึ่งเราต้องไกด์เขาก่อนด้วย ว่าเราจะถ่ายสไตล์นี้ ว่าเสื้อผ้าเป็นแบบนี้"
นางแบบที่ดีในสไตล์ของอมาตย์ต้องเป็นคนที่มีความสามารถ ทำงานง่าย เข้าใจในเนื้องาน
เปิดกว้าง ยอมรับ และนับถือความคิดของช่างภาพ เพราะบางครั้งเวลาทำงานความคิดหรือแนวคิดไอเดียของช่างภาพ
มักจะเกิดขึ้นเมื่อได้เจอนางแบบ ณ วินาทีนั้นๆ ที่นางแบบต้องแสดงคล้อยตามไปกับช่างภาพ
อมาตย์รู้จักลูกเกดเป็นการส่วนตัวมาตั้งแต่ได้รับตำแหน่งเป็นมิสไทยแลนด์เวิลด์
ก่อนที่จะร่วมงานกันครั้งแรกในปีที่ 2 เมื่อลูกเกดเข้าวงการนางแบบมา ทัศนะของอมาตย์ต่อลูกเกดก่อนที่เข้ามาสู่วงการนางแบบยังไม่ได้ถูกใจอมาตย์นัก
"ตอนนั้นเขาอ้วนและเส้นผมก็ยังดัดอยู่เลย ลูกเกดจะเป็นนางแบบตอนที่เขาทำผมตรง"
ภาพลักษณ์ของลูกเกดในช่วงเป็นนางงามจึงไม่ใช่นางแบบ
ด้วยภาระที่เธอรับผิดชอบในตัวธุรกิจที่เธอทำมาก่อนหน้า ได้แก่ โครงการ
Thai Supermodel เธอเคยผลิตปฏิทินภาพส่วนตัวของเธอกับเพื่อน เฮเลน-ปทุมรัตน์
วรมาลี ร่วมถ่ายใน Girlfriend 2000 โครงการนี้เธอเลือกอมาตย์ นิมิตภาคย์
เป็นช่างภาพ เช่นเดียวกับงานถ่ายภาพลูกเกด ไม่มีเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว
ประกอบหนังสือ Metinee's Secret ของเธอ
"ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดยังไง ไม่เคยถามว่าเลือกผม เพราะว่าสนิทกัน
หรือว่าเลือกเพราะผลงาน แต่ถ้าเกิดว่าเป็นลูกค้าอื่นๆ ถ่ายโฆษณาหรือสินค้าแคมเปญใหญ่ๆ
ส่วนใหญ่เขาจะแนะนำมา ซึ่งหมายถึงผลงานมากกว่าเพราะตัวนางแบบไม่ใช่ตัวเจ้าของสินค้า"
ด้วยความสนิทสนม คุยกันรู้เรื่อง คลุกคลีกันบ่อยพอสมควรจนสนิทกว่าช่างภาพคนอื่นๆ
จึงเป็นการง่ายสำหรับเธอในการสื่อสารสิ่งที่เธอต้องการออกมาได้อย่างตรงใจที่สุด
"ที่หนึ่งในใจของคุณอมาตย์คือลูกเกดหรือเปล่า" เราถาม
"มีเยอะ ดูจากคนไหนที่ใช้บ่อย บอกไม่ได้หรอกบอกให้เขาตีกันเหรอ" เสียงอมาตย์
ภายในระยะเวลา 16 ปี อิมเมจถ่ายปกเดี่ยวดารานางแบบหญิงทั้งหมด 144 ปก เช่น
ลูกเกด, หมิว ลลิตา, เฮเลน, ซอนย่า, แหม่ม คัทลียา, ใหม่ เจริญปุระ, นก สินจัย
ฯลฯ ในจำนวนนี้ลูกเกดขึ้นปกเดี่ยว 8 ครั้ง คิดเป็น 5.5% ของคนดังทั้งหมด
ดังนั้น ในเรื่องค่าตัวนางแบบจะมีผลตอบแทนไม่มากนัก แต่ในการแข่งขันสูง
อาจจะมี การให้ราคาตัดหน้าเพื่อดึงตัวนางแบบไปลงในเล่มของเขาก่อนคนอื่น และผลจะทำให้เล่มที่ถ่าย
ชุดเดียวกันถัดมาหรือมาทีหลังมีความน่าสนใจน้อยลงไป
แต่การทำงานระหว่างอิมเมจกับเมทินีบางครั้งไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงินเป็นสำคัญ
แต่เป็นเรื่องของการใช้จังหวะในอาชีพนางแบบโดยมีสื่อนิตยสารชื่อดังของเมืองไทย
เป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยน อิมเมจและเมทินีได้ผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
(win win marketing) อิมเมจได้ยอดขาย ขณะที่เมทินีได้ชื่อเสียงและความก้าวหน้าในคุณภาพอาชีพการงานของเธอ
"บางเล่มลูกเกดยังไม่ยอมถอดยกทรงถ่ายเลย เพราะถ้าหนังสือใหญ่ๆ เขาจะทำให้
แต่ถ้าหนังสือเล็กๆ เขาคิดว่าไม่คุ้ม และเขาจะเรียกแพงกว่าเล่มอื่นเพราะเขาถือว่าไม่ได้ช่วยเขา
ไม่ได้ส่งเสริมให้เขาดูดี เพราะเขาไม่ได้ทำเพื่อเงินอย่างเดียว"
ภาพปกของอิมเมจฉบับฮือฮาเมื่อปี 1998 ได้สร้างเรตติ้งความนิยมในด้านความเซ็กซี่จนได้รับผลโหวตจากดูเร็กซ์ต่อเนื่องถึง
3 ปี เธอเลือกจังหวะของการใช้สื่อได้อย่างดีเพื่อเป็นตัวโปรโมตชื่อเสียงผ่านงานถ่ายแบบ
เล่นละครของเธอที่เธอมักจะรับเป็นช่วงๆ เพื่อกันไม่ให้คนลืมและไม่ให้รู้สึกว่ามากเกินไป
"เขารู้จักพรีเซ็นต์ตัวเองในแง่การตลาด รู้และเลือกว่าเขาจะทำอะไรไม่พร่ำเพรื่อ"
อมาตย์ให้ความเห็น
ล่าสุดเธอเป็น Trend Setter การลดน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติ โดยเขียนหนังสือ
Metinee's Secret และทำกิจกรรมร่วมกับภาคราชการ เช่นโครงการส่งเสริมการออกกำลังกายของประชาชน
และไปร่วมเสวนากับหมอและอาจารย์มหิดลเรื่อง "การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ"
ภายหลังเมื่อเธอเปิดตัวหนังสือของเธอไปเมื่อเดือนมีนาคม
ภาพประกอบในหนังสือของเธอ เป็นงานของอมาตย์ทั้งเล่ม ที่มีคอนเซ็ปต์ของผู้หญิงสวยจากสุขภาพดี
โดยอมาตย์ดึงมาถ่ายในรูปของลูกเกดที่เขาบอกว่า "เธอเป็นผู้หญิง ที่โป๊แต่ดูไม่โป๊"
ในงานที่ถือเป็นผลตอบรับที่แรงที่สุดของอิมเมจ จนบรรณาธิการของหนังสือ
ต้องออกมาอธิบายแนวทางของหนังสือกับสังคมว่าเป็นอย่างไรด้วยตัวเอง คืองานถ่ายแบบปก
เดือนกรกฎาคม ปี 1998 โดยมีลูกเกด-เมทินีกิ่งโพยม แต่งชุดนางฟ้าสายเดี่ยวสีเงินเป็นนางแบบ
ในคอนเซ็ปต์ Get Ready For 2000 มีอมาตย์ นิมิตภาคย์ เป็นช่างภาพ ซึ่งปกเล่ม
นั้นคำรณเป็นคนเลือกที่จะนำภาพของลูกเกด ภาพนี้ไปขึ้นปกด้วยตัวเอง
อย่างงาน Get Ready For 2000 อมาตย์เล่าว่า "จริงๆ แล้วเสื้อผ้าของลูกเกดก่อนที่จะเป็นภาพนั้นไม่ใช่ชุดนี้
เสื้อจริงนั้นยังไม่เสร็จ ก็เลยถามว่า จะถ่ายหรือเปล่า แต่เสื้อมีแค่นั้น"
พอลูกเกดเห็นเสื้อเขาก็คิดอยู่แป๊บนึงแล้วเอาไปใส่ พอถ่ายเสร็จคนดูก็ตบมือ
เฮกันทั้งสตูดิโอ "เพราะไม่มีใครนึกว่าลูกเกดจะกล้าเสี่ยงใส่ชุดนั้น"
ลูกเกดเคยกล่าวว่า ครั้งนั้นอาจจะถือว่าเป็นที่สุดของอาชีพนางแบบของเธอเป็นอะไรที่หลุดโลก
คอนเซ็ปต์ปกเป็นเรื่องของอนาคต ลูกเกดคิดว่าภาพถ่ายปกนั้นเป็นงานศิลปะ และค่าตัวที่ได้ไม่ต่างจากปกติที่เธอได้รับ
เธอเห็นว่าเธอกล้าถ่ายเพราะเข้าใจในตัวงาน และกล้าแสดงออกมาในฐานะของมืออาชีพกับทีมงานที่มีคุณภาพ
"ระยะที่ลูกเกดอยู่ในวงการนางแบบยาว 11 ปี ผมว่านางแบบรุ่นนี้อายุ 28 ถึง
31 ปี เป็นนางแบบที่อยู่ยาวมาก เพราะว่าคน ที่ มาแทนที่รุ่นนี้ ไม่ค่อยมีตัวจริง
คือมาแบบ หยิบหย่ง เดี๋ยวมาเป็นดาราและนักร้อง แต่คนมาเป็นนางแบบจริงๆ มีไม่กี่คน
แต่รุ่นของลูกเกดได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ซ้ำแล้วซ้ำอีก มันเหมือนกับว่าเสน่ห์ของคนไม่เหมือนกัน
แรงดึงดูดไม่เหมือนกัน บางคนก็ดังเหมือนกันนะ แต่เสน่ห์ไม่มี ดูจากลักส์ก็ได้
อย่างใครที่มี Charisma มากก็จะมาอีกใช้แล้วใช้อีก แต่คนที่ไม่มีใช้ครั้งเดียวก็พอเลย"
สำหรับลูกเกดผู้หญิงเซ็กซี่ อมาตย์เป็นคนที่สามารถดึงเอาศักยภาพของลูกเกดให้ออกมามากขึ้นหรือเปล่า?
"บังเอิญมากกว่า ไม่ได้มีเจตนาจะค้นหา พอเราทำงานมันออกมาเองอัตโนมัติ
พอทำไป เรื่อยๆ มันก็ไหลออกมาเอง มันเริ่มต้นจากเขาทำอย่างนี้แล้วดูดี ดูสวย
คือเขาโป๊ แล้วดูไม่โป๊"
"อย่างลูกเกดเขาจะทำอย่างนี้ไปได้นานเท่าไหร่"
"อีกนาน" อมาตย์กล่าวในที่สุด ปี 1999 นิตยสารแพรวสุดสัปดาห์ เดือนตุลาคม