ก่อนสิ้นปี 2532 พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ประธานกลุ่มบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์
กรุ๊ปก็นำบริษัทในเครือคือ บริษัทแอดวานซ์เซอร์วิส จำกัด (มีหน้าที่ดูแลด้านธุรกิจให้เช่าและบริการคอมพิวเตอร์)
คว้าชัยในการประมูลการบริหารระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ย่านความถี่
900 เมกะเฮิรตซ์ ด้วยเวลาดำเนินงาน 20 ปีโดยบริษัทต้องจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
(ทศท.) เป็นรายปีตลอดระยะเวลาดำเนินงาน รวมเป็นเงินขั้นต่ำ 13,088 ล้านบาท
และจะเปิดบริการขั้นแรกภายในสิ้นปีนี้ 8,000 เลขหมาย
4 ปีย้อนหลัง โทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบเอ็น.เอ็ม.ที. 450 เมกะเฮิรตซ์ของทศท.
ได้เข้ามามีบทบาทอย่างสูงในวงการธุรกิจของไทย แต่หลังจากนั้นไม่นาน การสื่อสารแห่งประเทศไทย
(กสท.)ได้นำระบบใหม่เข้ามาใช้คือระบบแอมป์ คลื่นความถี่ 800 เมกะเฮิรตซ์
จำนวน 2,000 เลขหมายทั้งนี้เพื่อหวังแบ่งเบาภาระจากทศท. ซึ่งกำหนดเลขหมายของระบบความถี่
450 เมกะเฮิรตซ์ไว้ทั่วประเทศประมาณ 40,000 เลขหมาย
อย่างไรก็ตามการแบ่งเบาภาระของทศท.โดยกสท.ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะเกิดปัญหาที่คล้ายกันตลอดเวลา
โดยเฉพาะปัญหาขาดแคลนหมายเลขสำหรับผู้ต้องการใช้บริการอย่างมากมาย
และผู้ที่เสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือความต้องการของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ล่าสุด
คือ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส โดยนำระบบเซลลูลาร์ 900 เข้ามาใช้ โดยให้บริษัท
โนเกีย เซลลูลาร์ วิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศฟินแลนด์เป็นผู้ติดตั้งระบบชุมสายทั้งหมด
ซึ่งลักษณะเด่นของรุ่นนี้จะใช้ความถี่ย่าน UHF (ULTRA HIGH FREQUENCY) คือ
905-960 เมกะเฮิรตซ์ จะส่งผลให้ระบบการสื่อสารได้ชัดเจนในขณะที่ตัวเครื่องโทรศัพท์ระบบนี้
จะมีขนาดเล็กน้ำหนักเบา
ในฐานะที่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ฯ เป็นผู้ได้รับสัมปทานระบบเซลลูลาร์ 900
จากทศท. จึงทำให้บริษัทมีสิทธิ์คัดเลือกบริษัทที่เป็นผู้ขายเครื่องโทรศัพท์ได้ด้วยตนเอง
ซึ่งในขั้นแรกได้ให้ โนเกียและโมโตโรล่าดูแลด้านเครื่องก่อน และจะคิดค่าบริการนาทีละ
3 บาท และ 8 บาทสำหรับพื้นที่ติดกัน ส่วนพื้นที่ที่ไม่ติดกันคิดนาทีละ 12
บาท
"ผมเชื่อมั่นว่าเซลลูลาร์ 900 จะเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่สามารถให้บริการได้ดีแและทันสมัยมากที่สุดในขณะนี้
และจะไม่สร้างปัญหาให้กับผู้ใช้บริการเหมือนโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบเก่า
ๆที่มีมาอย่างแน่นอน…" พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยืนยันถึงเทคโนโลยีรุ่นล่าสุดของโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประเทศไทย
ถ้าจะมองในแง่พัฒนาการด้านเทคโนโลยีแล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมีการพัฒนาระบบต่างๆให้ดียิ่งขึ้น…ทว่าสิ่งที่ไม่ธรรมดาน่าจะอยู่ตรงที่ว่า
ผู้สนใจที่จะเข้ามาช่วยเหลือความคล่องตัวธุรกิจของชาติ ณ จุดนี้นั้น ใครคนไหนมองการณ์ไกลมากกว่ากันและคนใดจะเข้าถูกจังหวะมากกว่ากัน