ส่วนหนึ่งของชีวิตคือไออีซี

โดย รุ่งอรุณ สุริยามณี
นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2533)



กลับสู่หน้าหลัก

"ปูนขายไออีซีออกไป เป็นสิทธิของเขา เขาบอกผมว่านโยบายไม่ตรงกันเลยต้องขาย มันเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ยั่งยืนถาวร" เป็นความรู้สึกของชายแก่คนหนึ่งที่พรั่งพรูออกมาเมื่อทราบข่าวปูนขายไออีซีให้คนอื่นไป

ชายแก่ผู้นี้มีอายุมากถึง 85 ปีแล้ว แต่ยังมีความแข็งแรงของร่างกายเหมือนคนที่มีอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข เขาชื่อ "เทียม กาญจนจารี" ที่คนทั่วไปมักเรียก "คุณเทียม" แทนชื่อเขา

ทุกเช้าถึงเที่ยงคุณเทียมจะมานั่งที่ไออีซีนี้ทุกวัน มันเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนทั่วไปที่ไม่รู้ถึงความหลังที่ชายแก่ผู้นี้มีต่อบริษัทแห่งนี้ แม้ในปัจจุบันมันจะตกเป็นสมบัติของผู้อื่นมานานปีแล้วก็ตาม

คุณเทียมทำงานกับไออีซี ( อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง) สาขาประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 1927 "วันที่ 25 เมษายน ผมจำได้ถึงวันนี้" เขาระบุวันเวลาอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เขาต้องการแสดงถึงความรักและผูกพันที่มีต่อบริษัทแห่งนี้เริ่มต้นงานด้วยการเป็นเสมียนชิปปิ้งกันเงินเดือน 80 บาทหลังจากจบซีเนียร์เคมบริจด์ที่สิงคโปร์

ไออีซีเป็นบริษัทอเมริกันจดทะเบียนที่ฟิลลาเดเฟีย สหรัฐฯ เมื่อปี 1923 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 บริษัทนี้ได้เข้ามาประมูลงานสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-อรัญญประเทศในสมัยที่กรมพระกำแพงเพชร อัครโยธินเป็นเจ้ากระทรวงคมนาคมและพระยาสารศาสตร์ศิริลักษณ์ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เซ็นสัญญากับนายเฮอร์แมน เฮพเชอร์ผู้จัดการคนแรกของไออีซี (ไทย)

ไออีซีเข้ามาเปิดบริษัทในกรุงเทพด้วยทุนเริ่มแรก 200,000 บาทโดยผู้ถือหุ้นทั้งหมดเป็นบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง อิ้งยูเอสเอ (บริษัทแม่) เพื่อดำเนินการโครงการสร้างทางรถไฟที่ประมูลได้ แต่ผลการดำเนินงานขาดทุนเนื่องจากอุปกรณ์ที่นำเข้ามาเช่นพวกรถยนต์และแทรคเตอร์ กินน้ำมันมากทำให้มีค่าใช้จ่ายการสร้างทางสูง

ไออีซี (สหรัฐฯ) เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเป็นนายหน้าและตัวแทนการค้าสินค้าเครื่องจักรกลเช่นรถแทรคเตอร์ยี่ห้อเวสต์ซิกตี้ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแคตเตอร์พิลล่า) เป็นนายหน้าขายเครื่องบินให้ยูไนเต็ด แอร์คราฟท์ อุปกรณ์ไฟฟ้าเวสต์ติ้งเฮ้าและสินค้าอื่น ๆ อีกมากมาย

การขาดทุนจากโครงการสร้างทางรถไฟ ทำให้ไออีซี (ไทย) จะปิดบริษัททิ้งงานที่ยังทำไม่เสร็จ แต่ความที่เป็นบริษัทอเมริกันรายแรกที่เปิดกิจการในเมืองไทยทางรัฐบาลอเมริกัน จึงรู้สึกเป็นการเสียหน้ามากถ้าหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้น จึงให้ทางสถานทูตสหรัฐ ฯ ประจำไทยเข้าช่วยเหลื อทางการเงินส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยการเข้าเจรจาขอร้องให้ทางธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งขณะนั้นมีผู้จัดารใหญ่เป็นชาวอเมริกันปล่อยสินเชื่อเป็นทุนหมุนเวียนค่าใช้จ่าย จนโครงการสร้างทางรถไฟสายดังกล่าวเสร็จสิ้นตามสัญญา

แม้ไออีซีจะไม่ได้กำไรคุ้มต่อการลงทุน แต่ก็สามารถหล่อเลี้ยงให้ไออีซีสามารถดำเนินธุรกิจค้าขายในเมืองไทยต่อไปได้

"เราขายของเกือบทุกอย่างตั้งแต่เครื่องบิน เครื่องทำน้ำแข็ง เครื่องทำไฟฟ้า ปืนยาววินเชสเตอร์ เครื่องทรานฟอร์มเมอร์ขนาด 3 กิโลวัตต์ให้หน่วยราชการเกือบทุกแห่งและแม้แต่ประกันชีวิตเราก็เป็นตัวแทนให้บริษัทประกันซิกน่าไลฟ์ของอเมริกา" คุณเทียมเล่าให้ฟังถึงบทบาทด้านการค้าของไออีซียุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้น

การเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของไทยทำให้ทรัพย์สินของบริษัทอเมริกันในเมืองไทยถูกรัฐบาลยึดไออีซีก็เลี่ยงไม่พ้น เหตุการณ์นี้เป็นวิกฤติการณ์ครั้งที่ 2 ที่ไออีซีประสบในเมืองไทยหลังจากเคยประสบมาแล้วครั้งแรกเมื่อตอนสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-อรัญฯ

แต่พอหลังสงครามโลกสงบ ไออีซีก็ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ขณะที่คุณเทียมก็เริ่มสร้างธุรกิจส่วนตัวขึ้นมาโดยอาศัยเงินทุนส่วนหนึ่งประมาณ 400,000 บาทจากการยืมเพื่อนชาวจีน ชื่อลิ้มก่ำต่งที่อยู่แถวทรงวาดและอีกส่วนชวนประหยัด อังศุสิงห์ เข้าลงทุนถือหุ้นร่วมกันตั้งบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง โดยไม่ได้จดทะเบียนกับกระทรวงเศรษฐการ

ธุรกิจที่คุณเทียมทำเวลานั้นเป็นเอเยนต์เรือให้อีสเวสต์ไลน์ ได้ค่าคอมมิชชั่นตันละ 10 เซ็นต์ เวลานั้นหน่วยงานสหประชาชาติเพื่อการฟื้นฟูและบูรณะ (UNRRA) ต้องการขนข้าว 10,000 ตันจากเมืองไทยไปจีนก็ส่งนายวินเตอร์ไมน์มาติดต่อคุณเทียมจัดหาเรือขนข้าวให้

และนี่คือที่มารายได้ก้อนแรก 1,000 เหรียญ ที่คุณเทียมหาได้และนำฝากเข้าบัญชีเหรียญสหรัฐ ฯ ของนายชูลท์เจ้านายเก่าสมัยเป็นลูกจ้างไออีซียุคก่อนสงครามฯ ที่เปิดบัญชีไว้ที่สิงคโปร์

เหตุผลที่คุณเทียมทำเช่นนี้เนื่องจากเวลานั้นค่าเงินบาทเทียบกับเหรียญสหรัฐ ฯ อัตราทางการตกเหรียญละ 9.80 บาทขณะที่ตลาดมืด 27 บาท ถ้านำเงินเหรียญเข้าในประเทศจะขาดทุนกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกันทันทีเหรียญละ 18 บาท

เทคนิคตรงนี้เป็นผลกำไรมหาศาลที่คุณเทียมได้รับจากธุรกิจเอเยนต์เรือ และนำไปสู่การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง (ไออีซี) ด้วยทุน 10 ล้านบาทร่วมกับ ประหยัด อังศุสิงห์และจอห์น เวสเตอร์ตัวแทนของไออีซีสหรัฐ ฯ อย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นทางการในปี 1956 โดยคุณเทียมเอากำไรจากธุรกิจนายหน้าเอเยนต์เรือและอัตราแลกเปลี่ยนเป็นทุนเข้าถือหุ้น 15% มีนายเวสเตอร์เป็นกรรมการผู้จัดการ

ธุรกิจของไออีซีเดินหน้าอย่างรวดเร็ว มีซัพพลายเออร์ต่างประเทศหลายรายต้องการให้บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายเช่น โทรศัพท์ไอทีทีของบริษัทไอทีที เครื่องทำน้ำแข็ง ชูการ์ฮัทของบริษัทไดนามอสต์ เครื่องทรานฟอร์มเมอร์ของบริษัทเวสติ้งเฮ้า เอเยนต์ขายเครื่องบินให้บริษัทยูไนเต็ดแอร์คราฟ และที่สำคัญเป็นเอเยนต์รถขุดและแทรกเตอร์แคตเตอร์พิลล่าของบริษัทแคตเตอร์พิลล่า

"เราเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุดของหน่วยราชการและบริษัทเอกชนใหญ่ๆในสินค้าอุปกรณ์และเครื่องกล" คุณเทียมเล่าให้ฟังถึงความยิ่งใหญ่ของไออีซีในสมัยก่อน

การเป็นเอเยนต์ให้แคตเตอร์พิลล่าเป็นเสมือนตัวทำเงินทำทองให้บริษัทด้วยเหตุผลอย่างน้อย 2 ประการคือ หนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลเริ่มลงทุนสร้างสิ่งสาธาณูปโภคตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ จึงเป็นตลาดใหญ่ของไออีซีที่จะป้อนสินค้าให้และ สอง แคตเตอร์พิลล่าเป็นสินค้าที่มีรูปทรงขนาดใหญ่ต้องใช้เนื้อที่ในการเก็บรักษามาก การแสวงหาที่ดินตามแหล่งชานเมืองและจังหวัดหัวเมืองของกรุงเทพ ฯ ในขณะที่ยังมีราคาถูกจึงเป็นผลงานของการสร้างสินทรัพย์ในรูปของที่ดินที่มีมูลค่ามหาศาลในภายหลัง และเหตุนี้คือผลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการมีสินทรัพย์ที่ดินมากมายของบริษัทไออีซีในระยะต่อมา

"คุณเทียมถือหุ้นใหญ่กว่า 50% โดยซื้อเพิ่มจากเวสเตอร์ที่ต้องการขายเพื่อกลับสหรัฐ ฯ แล้วแกก็ให้ลูกชายคือพลศักดิ์เข้ามากุมบังเหียนบริหาร" แหล่งข่าวในไออีซีกล่าวถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของไออีซี

คุณเทียมมีลูก 4 คน เป็นลูกชาย 2 ลูกสาว 2 พลศักดิ์เป็นลูกชายคนโต เป็นคนมีความสามารถพอตัว แต่เสียที่ชอบดื่มเหล้าแล้วเมาจนเป็นเหตุหนึ่งที่แคต ฯ เลิกให้ไออีซีเป็นเอเยนต์เมื่อปี 1976

แคตเตอร์พิลล่าเลิกให้ไออีซีเป็นเอเยนต์ก็มาจากความไม่พอใจพลศักดิ์ที่ทะเลาะมีปากเสียงกับคนของแคต ฯ แล้วเวลาเมาก็คุมสติตัวเองไม่อยู่

เมื่อหลุดจากแคต ฯ พลศักดิ์ก็จับอินเตอร์เนชั่นแนล ฮาร์เวสเตอร์มาแทน แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงเปลี่ยนมาเป็นเฟียต-เอลิส หวังมาสู้กับแคต ฯ ที่ไปให้เมโทร แมชชินเนอรี่ของ ทองไทย บูรพาศรี เป็นเอเยนต์แทน

"พลศักดิ์ใช้มาตรการปล่อยเครดิตและหั่นราคา ปรากฏว่าหนี้สูญบานร่วมสามร้อยล้าน ยิ่งเจอมรสุมน้ำมันแพง ดอกเบี้ยแพงและลดค่าเงินบาทเข้าไปด้วย ก็ขาดทุน" แหล่งข่าวเล่าให้ฟังถึงที่มาการเริ่มตกต่ำของไออีซี

ภายใต้สถานการณ์วิกฤตินี้ ทางออกของบริษัทมีทางเดียวที่ทำได้คือการลดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด โดยการปลดคนงานออก แต่คุณเทียมไม่กล้าทำ เขาเลือกที่จะขายกิจการให้คนอื่น

คนที่รับซื้อคือปูนซิเมนต์ไทย โดยพูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ ประธานกรรมการของปูนทราบจาก กิตติรัต ศรีวิสารวาจา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ไออีซีขณะนั้น

"ผมขายสินทรัพย์ของไออีซีออกไปไม่ถึง 20% ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ไออีซีมีอยู่ โดยผมมีเงื่อนไขว่าทางปูนต้องรับหนี้สินส่วนตัวของผม 38 ล้านบาทที่ค้ำให้ไออีซีด้วย" คุณเทียมเล่าถึงเงื่อนไขการขายไออีซีของเขา

หนี้สินไออีซีมีอยู่ 100 ล้านขณะที่มีมูลค่าสินทรัพย์รายการลูกหนี้การค้าที่มีปัญหาการชำระอยู่ 300 ล้าน

สินทรัพย์ที่ดีที่สุดของไออีซีในการขายครั้งนี้คือที่ดิน 13 แปลง และที่สำคัญที่สุดคือแปลง 6 ไร่ข้างกรมอุตุนิยมวิทยา ถนนสุขุมวิทและแปลง 2 ไร่ครึ่งบริเวณโอเรียนเต็ลพลาซ่า ที่มีมูลค่ามหาศาล

"ผมขายให้ปูนถูกมากหุ้นละ 1,200 บาทเท่านั้น" คุณเทียมบอกถึงราคาที่เขาขายไออีซีให้ปูนเมื่อ 7 ปีก่อน

แม้จะขายให้ปูนไปแล้ว แต่ความที่มีความรู้สึกผูกพันกับไออีซีมาตลอดชีวิต เขาก็ยังมานั่งที่ไออีซีทุกวันโดยไม่รับเงินเดือน

"ผมมาขออาศัยที่นี่เป็นสำนักงานทำอะไรส่วนตัวของผมเช่นติดต่อพบปะเพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงานของผมที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ไออีซี" เขากล่าวถึงเหตุที่มาไออีซีทุกวัน ดูประหนึ่งไออีซีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.