ธุรกิจเก่าภูเก็ต เติบโตใต้ขีดจำกัด


นิตยสารผู้จัดการ( ธันวาคม 2542)



กลับสู่หน้าหลัก

ตระกูลธุรกิจภูเก็ตยุคเก่าสร้างเครือข่ายธุรกิจระดับประเทศ จากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติบนเกาะภูเก็ต ทั้งเหมืองแร่ ยางพารา มาบัดนี้การเติบโตของตระกูลเก่าแก่เหล่านั้นเติบโตอย่างจำกัดทิศทางธุรกิจจึงมุ่งรักษาฐานดั้งเดิมและรอรับผลพวง จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก

ประเสริฐ เฟื่องฟู

ติลกกรุ๊ป ขอโตด้วยตนเอง

"ตระกูลถาวรว่องวงศ์"หรือ"ติลกกรุ๊ป"ตระกูลเก่าแก่อีกตระกูลหนึ่ง ในภูเก็ตที่เริ่มบุกการทำธุรกิจมาช้านาน ยังใช้การบริหารจัดการแบบกงสี และคงรูปแบบดังกล่าวตลอดไป แม้ธุรกิจโรงแรมของเขาจะมีการแข่งขันกับเครือธุรกิจระดับโลกอย่างเข้มข้นก็ตาม

ารดำเนินธุรกิจของติลกกรุ๊ป ค่อนข้าง จะราบเรียบไม่โลดโผนมากนัก มีการ สร้างฐานธุรกิจเป็นเวลาร้อยๆ ปี เหมือนกับ ตระกูลเก่าแก่อื่นๆในภูเก็ต ที่จุดเริ่มต้นเกือบ ทุกตระกูล จากการเป็นนายเหมือง นายหัวสวนยาง ก่อนที่จะพัฒนาเข้าสู่ธุรกิจด้านการ ท่องเที่ยว หรือพัฒนาที่ดินในปัจจุบัน

ติลกกรุ๊ปก็เช่นเดียวกัน เริ่มจาก "อ๋องซิมผาย" อพยพจากเมืองจีนเข้ามาทำมาหากินที่ภูเก็ตด้วยการทำเหมืองแร่ และถ่ายโอนอำนาจการบริหารให้กับลูกชายคือติลก ถาวรว่องวงศ์ รับช่วงการทำเหมืองแร่ และสวนยางพาราใน 14 จังหวัดภาคใต้

ติลกกรุ๊ปได้ชื่อว่าเป็นผู้หนึ่งที่บุกเบิก การลงทุนด้านโรงแรมและการท่องเที่ยวของ เกาะภูเก็ต เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว โดยเริ่มต้น จากที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เดินทางมาจังหวัดภูเก็ตและเห็นว่าคนภูเก็ตในสมัยนั้น ไม่ยอมลงทุนด้านอื่นๆ เลยนอกจากเหมือง แร่และสวนยางพารา น่าที่จะพัฒนาด้านอื่นๆ บ้างเพื่อให้ภูเก็ตเจริญกว่าที่เป็นอยู่ในสมัยนั้น

จากจุดนั้น ติลกกรุ๊ปจึงได้ตัดสินใจ ทุ่มทุนกว่า 10 ล้านบาท สร้างโรงแรมแห่งแรกของเกาะภูเก็ตจำนวน 200 ห้อง ที่บริเวณ ถนนรัษฎา ชื่อ"โรงแรมถาวร"

"สมัยที่ขึ้นโรงแรมถาวรใหม่ๆ ลำบาก มาก ลูกค้ามาใช้บริการน้อยมาก บางวันมีแขกพักแค่ 4 ห้องก็ยังมีเลย เพราะสมัยเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ภูเก็ตยังไม่มีความสะดวก ด้านการคมนาคมขนส่ง ไม่มีสะพานเชื่อมระหว่างเกาะภูเก็ตกับพังงาต้องใช้แพขนานยนต์เชื่อมระหว่างกัน" เจริญ ถาวรว่องวงศ์ ผู้อำนวยการบริษัทในเครือ ติลกกรุ๊ป เล่า

เจริญเล่าต่อว่า ตอนนั้นต้องกัดฟัน บริหารโรงแรมเรื่อยๆ มา แม้ว่าจะตกอยู่ใน สภาวะขาดทุน เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรในเมื่อ ได้ลงทุนไปแล้ว ก็ต้องเปิดไปเรื่อยๆ แต่โชค ก็เข้าข้างจนได้เพราะ 8-9 ปีหลังจากนั้น รัฐบาลได้ลงทุนสิ่งอำนวยความสะดวกในภูเก็ต มีการก่อสร้างสะพานเชื่อมพังงากับภูเก็ต การคมนาคมขนส่งดีขึ้น เริ่มมีลูกค้ามาใช้บริการมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย และคนต่างประเทศที่มาติดต่อธุรกิจเหมือง แร่ สวนยางพารา พนักงานขายของ และข้าราชการ นักท่องเที่ยวน้อยมาก

หลังจากนั้นไม่กี่ปีติลกกรุ๊ปยอมทุ่ม ทุนอีก ขึ้นโรงแรมพีเอสอินน์ในตัวเมือง ภูเก็ตอีก 200 ห้อง ธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเริ่มหมดยุคทองของแร่ดีบุกใน ภูเก็ต มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเข้ามา ภูเก็ตประปรายตามชายหาดต่างๆ ติลกกรุ๊ป ได้ปรับแผนการลงทุนครั้งใหม่ จากที่เคยลงทุนทำโรงแรมในตัวเมืองภูเก็ต ขายห้องพักได้แต่ลูกค้าคนไทย ติลกกรุ๊ปเบนเข็มมุ่งหน้าสู่ชายหาด โดยยึดหัวหาดธุรกิจโรงแรมบริเวณชายหาดเป็นรายแรกๆ ของภูเก็ต ที่หาดกะรนและหาดนาคาเล ติดกับหาดกะหลิมและหาดป่าตอง

การตัดสินใจขึ้นโรงแรมระดับห้าดาวที่หาดกะรน ธุรกิจท่องเที่ยวของภูเก็ตยังไม่บูม แต่ก็มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดย เฉพาะจากยุโรปเริ่มเข้ามาท่องเที่ยวตามหาด ต่างๆ มากกว่าตอนที่ขึ้นโรงแรมครั้งแรก

โดยเริ่มแรกได้ลงทุนประมาณ 700-800 ล้านบาท ขึ้น"โรงแรมถาวรปาล์มบีช" ที่หาดกะรน จำนวน 75 ห้องก่อน และ"โรง แรมถาวรเบย์รีสอร์ท"ที่หาดนาคาเลอีก 30 ห้อง เพราะตอนนั้นยังไม่มั่นใจว่าการท่องเที่ยวของภูเก็ตตามหาดต่างๆ จะบูมมากน้อยแค่ไหน

เหมือนกับว่าติลกกรุ๊ปจะจับทิศทาง ธุรุกิจท่องเที่ยวของภูเก็ตได้ถูกจุด เพราะหลังจากที่ตัดสินใจขึ้นโรงแรมชายหาดทั้ง 2 แห่ง เพียงปีกว่าๆ ธุรกิจการท่องเที่ยวของภูเก็ตบูมขึ้นเรื่อยๆ จึงได้ขยายการลงทุนทั้ง สองโรงแรมเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว เพิ่ม ห้องพักเป็นโรงแรมละ 210 ห้อง

การทำโรงแรมตามชายหาดในช่วง แรกเมื่อประมาณ 15 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างลำบาก เพราะขณะนั้นโรงแรมตามชายหาดมีน้อยมาก โรงแรมที่บริหารโดยเชนที่มีมาตรฐานสากลยังไม่เข้ามาตามชายหาด ทำ ให้ไม่มีตัวอย่างที่สามารถยึดเป็นแบบได้ ติลกกรุ๊ปจึงทำโรงแรมชายหาดอย่างค่อนข้างโดดเดี่ยว และการบริหารรวมทั้งการจัดการจะต้องกำหนดรูปแบบทุกอย่างเองทั้งหมด ซึ่งยอมรับว่าในช่วงแรกการบริหาร จัดการ การตลาด การกำหนดราคา กลุ่มลูกค้าค่อนข้างจะสะเปะสะปะมาก

"พูดง่ายๆ ว่าการทำโรงแรมในช่วงนั้นไม่มีทิศทางที่แน่นอน แต่ทำมาได้ระยะหนึ่งพอเริ่มมีประสบการณ์ สามารถที่จะกำหนดการบริหารจัดการ กำหนดกลุ่ม ลูกค้า ที่ชัดเจนขึ้น และกำหนดมาตรฐานราคา" เจริญกล่าว

แม้ว่าในช่วงแรกที่จะทำธุรกิจโรงแรมตามชายหาดจะประสบปัญหาบ้าง ติลก กรุ๊ปก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ได้เข้ามาลงทุนขึ้นโรงแรมระดับ 5 ดาวในตัวเมืองภูเก็ต ชื่อ "โรงแรมถาวรแกรนด์พลาซ่า"ทุ่มทุนอีก 1,000 ล้านบาท เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมาและล่าสุด เมื่อปี 2539 ได้ทุ่มทุนอีก 1,500 ล้านบาท พัฒนารีสอร์ตชื่อโรงแรมถาวรบีชวิลเลจที่หาดนาคาเลอีก

ไม่ใช่ว่าติลกกรุ๊ปจะมุ่งทำธุรกิจโรงแรมเพียงอย่างเดียว ยังได้มีการขยายการลง ทุนสู่ธุรกิจอื่นๆ อีกหลายกิจการเช่น มีการพัฒนาพื้นที่กว่า 400 ไร่ ในเขตตัวเมืองภูเก็ต เป็นแหล่งชอปปิ้งของนักท่องเที่ยว ชื่อ"ติลก ไทม์สแควร์" แตกไลน์ธุรกิจสู่การลงทุนก่อสร้างท่าเรือติลก ที่เกาะสิเหร่ จ.ภูเก็ต

นอกจากนี้ติลกกรุ๊ป ยังได้ขยายการ ลงทุนสู่ธุรกิจรถยนต์ โดยการตั้งบริษัท ชนะเจริญอินดัสทรี จำกัด และบริษัท ท็อป สปีดมอเตอร์แอนด์สปอร์ต จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ทั้งเอเชียและยุโรป

จนถึงปัจจุบันติลกกรุ๊ปมีบริษัทในเครือหลายบริษัท ซึ่งประกอบด้วย

บริษัท ติลกกรุ๊ป จำกัด เป็นบริษัทแม่ และดูแลธุรกิจด้านการลงทุนพัฒนาที่ดิน ในเขตตัวเมืองภูเก็ต

บริษัทเจริญชนะ 1986 พัฒนาที่ดิน ด้านโรงแรมและรีสอร์ต ในเครือติลกกรุ๊ปทั้งหมด

บริษัทถาวรโฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กรุ๊ป จำกัด บริหารโรงแรมในเครือถาวรทั้งหมด

บริษัท อ๋องซิมผาย จำกัด ดูแลในส่วนของสวนยางพารา

บริษัท ท็อปสปีดมอเตอร์ จำกัด และบริษัทชนะเจริญอินดัสทรี จำกัด ดูแลธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์

หจก.เอนเทอร์เทรนเม้นเฟรส จำกัด ดูแลธุรกิจด้านบันเทิงทั้งหมดในเครือติลก กรุ๊ป

ท่าเรือติลกที่เกาะสิเหร่

โรงกลึงชนะเจริญ

ฟาร์มจระเข้ woodvill

โครงสร้างการบริหารภายในติลก กรุ๊ป ปัจจุบันยังคงมี ติลก ถาวรว่องวงศ์ นั่งเป็นประธานกรรมการ เจริญ เป็นผู้อำนวย การฝ่ายโรงแรม ชนะ ถาวรว่องวงศ์ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายรถยนต์ และคนที่ถือหุ้นในบริษัทได้แก่ ติลก ภรรยาและลูก ๆ ประ กอบด้วย เจริญ ถาวรว่องวงศ์, ชนะ ถาวร ว่องวงศ์, สุนันทา ถาวรว่องวงศ์, สุมาลี ถาวรว่องวงศ์, ขวัญตา ถาวรว่องวงศ์ และ สุวิมล ถาวรว่องวงศ์

ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ที่ดำเนินการในนามบริษัท ท็อปสปีดมอเตอร์ จำกัด และบริษัทชนะเจริญอินดัสทรี จำกัด และให้ ชนะ ถาวรว่องวงศ์ น้องชายของ เจริญ เป็นผู้ดูแลนั้น เป็นตัวแทนจำหน่าย รถยนต์หลายยี่ห้อ ประกอบด้วย แดวู เบนซ์ โฟล์คสวาเกน ออดี้ และแลนด์ โรเวอร์

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจรถยนต์ไม่ใช่ธุรกิจหลักของติลกกรุ๊ป และติลกกรุ๊ปไม่ได้ ให้ ความสำคัญมากนัก เพราะดูจากการทำธุรกิจ รถยนต์ที่ผ่านมาไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร บางช่วงซบเซาถึงกับหยุดกิจการ และบางช่วงก็กลับมาเปิดดำเนินการอีก เป็นเช่น นี้มานานหลายปีแล้ว เนื่องจากขาดประสบ การณ์ด้านการตลาดมากกว่าสาเหตุอื่นเพราะ ธุรกิจหลักของติลกกรุ๊ปคือธุรกิจโรงแรม

ติลกกรุ๊ปตั้งความหวังว่าในอนาคต จะพัฒนาธุรกิจสู่โรงงานผลิตเครื่องหนังจระเข้ส่งออกต่างประเทศ เพราะขณะนี้มีจระเข้ที่เลี้ยงเพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าชมกว่า 1 หมื่นตัวแล้ว

เจริญกล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในเครือติลกกรุ๊ป ว่า ธุรกิจโรงแรม ทั้งในตัวเมืองและชายหาดผลการดำเนินงานอยู่ในภาวะที่น่าพอใจ อัตราการเข้าพักโรงแรมอยู่ในระดับดี โดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่น โรงแรมชายหาดทั้ง 3 โรง อัตราการเข้าพักอยู่ที่ระดับ 80-90% ช่วงโลว์ซีซั่น อยู่ที่ 65-70% ลูกค้าส่วนใหญ่ถ้าเป็นโรงแรมชายหาด เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรป ในตัวเมือง เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเอเชีย โดยมีไต้หวันเป็นกลุ่มหลัก และลูกค้าจากท้องถิ่นบ้างในส่วนของการจัดเลี้ยง และโดยเฉพาะเมื่อ ปีที่ผ่านมาธุรกิจโรงแรมบูมมากๆ โรงแรมในเครือก็ได้รับอานิสงส์จากจุดนั้นด้วย

"ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมในเครือติลกกรุ๊ปที่มีอยู่มากนัก แต่ก็กระทบบ้างไม่ถึงขั้นรุนแรงต้องปิดกิจการ เพราะช่วงที่เศรษฐกิจ ตกต่ำมากๆ เมื่อประมาณ 1-2 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตบูมมากๆ จากการลดค่าเงินบาท ความไม่สงบในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย แม้แต่ช่วงโลว์ ซีซั่น ซึ่งที่ผ่านมาโรงแรมจะลำบาก ห้องพัก ว่าง แต่ปีสองปีที่ผ่านมาแทบจะไม่มีโลว์ซีซั่น เลยก็ว่าได้"

ส่วนธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสวนยาง ท่าเรือ ธุรกิจบันเทิง ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมาย เป็นไปตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจ แต่ที่กระทบมากที่สุดคงจะเป็นธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ทั้งสองบริษัท ซึ่งเราเองก็หลีกเลี่ยงผลกระทบในส่วนของยอดขายที่ลดลงไม่ได้ เพราะยอดขายรถยนต์ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ แต่ไม่ถึงกับ บาดเจ็บมากจนถึงขั้นต้องปิดกิจการ

นายเจริญกล่าวว่า ถือว่าเป็นความโชคดีของติลกกรุ๊ปก็ว่าได้ เพราะว่าช่วงก่อน ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ได้วางแผนที่ จะขยายการลงทุนพัฒนาที่ดินในเขตตัวเมือง ภูเก็ต แต่โครงการที่เสนอขอกู้เงินจากสถาบันการเงินไม่ได้รับการอนุมัติจากสถาบันการเงินในกรุงเทพฯทำให้รอดตัวจาก ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หากตอนนั้นสถาบันการเงินยอมปล่อยสินเชื่อให้ ถึงตอนนี้ก็คงจะลำบากเหมือนกัน

เจริญเผยกลยุทธ์ในการบริหารกิจการในเครือติลกกรุ๊ปช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ว่า ตอนนั้นต้องประหยัดค่าใช้จ่ายมาก จ่าย เฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น และงดการขยาย การลงทุนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงการเล็ก หรือโครงการใหญ่ๆ

ไม่พึ่ง chain

ไม่เป็นบริษัทมหาชน

ติลกกรุ๊ปก็ยังเป็นอีกหนึ่งตระกูลบน เกาะภูเก็ตที่ยังยึดการบริหารธุรกิจแบบครอบครัว โดยมีบริษัทติลกกรุ๊ปเป็นบริษัท แม่ควบคุมดูแลกิจการทั้งหมดในครอบครัว โดยมีติลก ถาวรว่องวงศ์ เป็นประธานกรรมการ เจริญ ถาวรว่องวงศ์ ลูกชาย เป็น ผู้ควบคุมดูแลในส่วนของกิจการโรงแรมทั้งหมด และชนะ ถาวรว่องวงศ์ ลูกชายคน เล็ก ดูแลธุรกิจในส่วนของตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง ทั้งหมด

เจริญบอกว่าก่อนหน้าที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจหลักของครอบ ครัวคือโรงแรมมีผลการดำเนินการอยู่ในขั้น ที่ดีพอสมควร ได้มีบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ หลายๆ แห่งเสนอตัวเข้ามาเป็นบริษัทที่ปรึกษา เพื่อเติมแต่งให้ติลกกรุ๊ปเข้าไประดม ทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ ทางเราก็ปฏิเสธไปหลายครั้ง และยังตั้งมั่นที่จะบริหารกิจการในครอบครัวให้โตด้วยคนในครอบครัวของติลกกรุ๊ปเอง เพราะเรา เคยเห็นตัวอย่างในหลายๆประเทศมาแล้ว ว่าการนำบริษัทเข้าไประดมทุนในตลาดหลัก ทรัพย์ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จทุกบริษัทเสมอไป มีมากมายที่ประสบ ความล้มเหลว

ในวันนี้ ติลกกรุ๊ปมีโรงแรม และ รีสอร์ตระดับ 5 ดาวอยู่ในมือ 4 แห่ง ที่บริหารจัดการด้วยตัวของติลกกรุ๊ปเองในนามของ "ถาวร โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กรุ๊ป" (THAVORN HOTEL & RESORT GROUP) โดยไม่มีการดึง chain จากต่าง ประเทศหรือในประเทศที่เป็นมืออาชีพในการบริหารโรงแรมเข้ามาบริหารแต่อย่างใด ติลกกรุ๊ปบริหารโรงแรมของตัวเอง และ ได้ตั้งปณิธานไว้ที่จะนำ Tharvorn hotel & resort group เข้าสู่มาตรฐานของโรงแรม chain สากล

"ที่ผ่านมา chain ทั้งในและต่างประเทศหลายรายได้ติดต่อเข้ามาบริหารโรงแรมในเครือทั้งหมด แต่ก็ปฏิเสธเขาไปเหมือนการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์"

เจริญกล่าวว่า การที่ติลกกรุ๊ปไม่ต้องการให้ chain เข้ามาบริหารจัดการโรงแรมในเครือ เพราะทั้งประธานบริษัทและตนมีความเห็นตรงกันว่า ไม่ต้องการให้ต่าง ชาติเข้ามาควบคุมการทำงานในครอบครัว ไม่ต้องการให้ต่างชาติเข้ามาตั้งกฎระเบียบใน การทำงานของครอบครัว และไม่ต้องการที่จะให้ชื่อ chain เข้ามาเกี่ยวข้องกับชื่อของโรงแรม แม้ว่ายอดขายและราคาจะสูงไม่เท่ากับการบริหารโดย chain ต่างชาติ แต่ เราก็มีความภูมิใจที่จะบริหารแบบคนไทย และมีอิสรภาพในการบริหารโดยไม่ต้องเดินตามคำสั่งของฝรั่งทั้งหมด

เจริญย้ำว่า ถึงตอนนี้ติลกกรุ๊ปยังยึดมั่นในความคิดเดิมที่จะบริหารโรงแรมใน เครือด้วยตัวเองแทนที่จะนำ chain เข้ามาบริหาร เพราะเรามองว่าระบบการจัดการต่างๆ ที่ฝรั่งนำเข้ามาบริหาร เราสามารถที่สร้างขึ้นเองได้ และใช้ระบบการบริหารด้วยตัวของเราเอง อย่างกรณีของการให้บริการต่างๆ คนไทยก็สามารถที่จะฝึกฝนให้เหมือนกับฝรั่งได้ ถึงวันนี้โรงแรมในเครือก็สามารถที่ จะประคองตัวเองได้ แม้ว่าจะไม่โตเท่ากับโรง แรมที่บริหารโดย chain ต่างประเทศก็ตาม

นอกจากนี้แล้วการบริหารโดย chain จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการบริหารค่อน ข้างจะสูงกว่าบริหารด้วยตัวเอง และในความคิดของติลกกรุ๊ปเห็นว่าการบริหารโดย chain ไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไป มีตัวอย่างให้เห็นมากมายที่บริหาร โดย chain แล้วล้มเหลวต้องกลับมาบริหารโดยคนในครอบครัวเอง

อีกเหตุผลหนึ่งที่ติลกกรุ๊ปไม่ยอมใช้ chain เพราะเชื่อมั่นในจุดเด่นของโรงแรม ที่เน้นพื้นที่ที่เป็นธรรมชาติมาก กรณีของโรงแรมถาวรปาล์มบีซ ใช้พื้นที่ก่อสร้างทั้งหมด 65 ไร่ แต่สร้างห้องพักเพียง 200 กว่าห้องเท่านั้น ซึ่งหากไม่เน้นธรรมชาติและ ความร่มรื่นแล้ว จะสามารถสร้างได้ประมาณ 400-500 ห้อง โรงแรมถาวรเบย์ ก็เช่นกัน จะเน้นพื้นที่ธรรมชาติมากกว่าการก่อสร้างอาคาร

นอกจากนี้แล้ว การตกแต่งโรงแรม ในเครือถาวรที่เป็นเอกลักษณ์ คือ การตกแต่งภายในตัวโรงแรมด้วยประติมากรรม ภาพเก่า ๆ ที่บ่งบอกความเป็นวรรณกรรมเก่า ๆ ของไทย เพื่อบ่งบอกวัฒนธรรมและ วิถีความเป็นไทยให้กับนักท่องเที่ยว และสิ่ง ที่เป็นเอกลักษณ์อีกประการหนึ่งคือ บริเวณ โรงแรมถาวร ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกของ ติลกกรุ๊ป และภูเก็ต ได้มีการตกแต่งด้วยภาพเก่าที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตและการทำมาหากินของชาวภูเก็ตในสมัยก่อน เช่น การทำเหมืองแร่ เป็นต้น

ส่วนเรื่องการบริการในห้องพักนั้น ไม่แตกต่างจากโรงแรมทั่วๆ ไปในภูเก็ต และขณะนี้ทางติลกกรุ๊ป กำลังมุ่งการพัฒนา ด้านการบริการให้ประทับใจนักท่องเที่ยวให้ มากที่สุด โดยการจ้างชาวต่างชาติเข้ามาฝึก อบรมพนักงานด้านการบริการ มารยาทพนัก งาน เพื่อยกระดับการบริการสู่สากล

เจริญกล่าวว่า ตอนนี้บริหารโรงแรมในเครือด้วยตัวเอง ได้ยึดหลักการบริหารแบบพออยู่พอกิน ตามพระราชดำริของในหลวง ไม่มีการขยายการลงทุนออก ไปมาก เพราะหากขยายธุรกิจออกไปมากเกินไปจะทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง ปัญหาต่างๆ จะ ตามมามากมาย

ส่วนการขยายการลงทุนเพิ่มนั้น ใน ช่วงนี้คงจะไม่ลงทุนเพิ่ม ต้องรอให้ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวก่อน แต่ก็คงจะขยายการลงทุนไปยังกิจการอื่นๆ ที่นอกเหนือจากโรงแรม ซึ่งตอนนี้ได้คิดไว้แล้ว

ถึงวันนี้ ติลกกรุ๊ปยังคงยึดมั่นที่จะ โตด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องดึง chain ต่างประเทศเข้ามาบริหารโรงแรม หรือนำบริษัททั้งหมดในเครือเข้าระดมทุนในตลาด หลักทรัพย์



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.