สมพงศ์ นครศรี ผู้ถือหลัก "จิตว่าง" ในการทำธุรกิจ


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2533)



กลับสู่หน้าหลัก

ถ้าพนักงานหนุ่มการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) คนนี้ไม่ดิ้นรนที่จะส่งเสียน้องเรียนหนังสือด้วยการเบนเข็มชีวิตตัวเองมาทำธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าก็คงจะไม่มีวันนี้ วันซึ่งเขาประสบความสำเร็จทั้งด้านส่วนตัวและธุรกิจอย่างมีความสุข

สมพงศ์ นครศรี รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า เจ้าของบริษัท บางกอกเคเบิ้ลสายไฟฟ้า จำกัด ผู้ผลิตลวดทองแดงและสายไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศ บุคคลซึ่งมีหลักในการทำธุรกิจที่ต่างไปจากนักธุรกิจรายอื่นอย่างที่หลายคนบอกว่า "แปลกแต่จริง"

สมพงศ์ จบวิศวกรรมศาสตร์จากจุฬาฯ ก็เริ่มงานที่การไฟฟ้านครหลวงและด้วยความ ที่ "ดิ้นรน" มากไปหน่อย ในฐานะที่เป็นพี่ชายคนโตจึงอาสาส่งน้องเรียน ขณะที่กฟน. กำลังจะปรับไฟฟ้าตามบ้านจากระบบ 110 โวลต์มาเป็น 220 โวลต์ทำให้ต้องวางแผนระบบการจำหน่ายใหม่

ระบบ 220 โวลต์ เป็นระบบที่เหมาะกับเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วมากกว่า...!

จังหวะตรงนี้ที่สมพงศ์เห็นว่าสายไฟจะต้องเปลี่ยนใหม่หมด จึงมีช่องทางที่จะทำธุรกิจสายไฟฟ้า ด้วยการเริ่มเข้าไปถือหุ้นในบริษัท สายไฟฟ้า บางกอกเคเบิ้ล

แต่มีปัญหาว่าทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย กิจการจึงไม่ก้าวหน้า ต่อมาจึงตัดสินใจออกมาบริหารงานของบริษัทเต็มตัว หลังจากที่ได้ประสบการณ์ด้านช่างและการติดตั้งไฟมา ไม่น้อย พร้อมกันนั้นครอบครัวของสมพงศ์ก็ซื้อหุ้นของบริษัทสายไฟฟ้าฯ เมื่อปลายปี 2511

เมื่อมาบริหารงานเองแล้ว สมพงศ์ยอมรับว่าค่อนข้างมีอารมณ์ จะโกรธมากเมื่อสั่งงานแล้วไม่ได้ตามต้องการ

"ผมเป็นคนมีอารมณ์โกรธรุนแรง" สมพงศ์รู้ว่านี่คือจุดอ่อนของตัวเองและทำให้จิตใจมัวหมองหดหู่

คนที่รู้เท่าทันตัวเองเมื่อรู้ว่ามีปัญหา ก็หาทางแก้นั้น ที่สุดแล้วก็จะไม่รู้สึกว่า มีปัญหาอีก...!

สมพงศ์ถามเพื่อนรุ่นพี่ซึ่งแก่กว่า 10 ปีเศษ ก็ได้รับคำแนะนำให้ไปฟังเทศน์ที่วัด ชลประทานรังสฤษฎ์และส่งหนังสือของท่านพุทธทาสมาให้อ่าน

เมื่อเปิดโลกทรรศน์ตัวเองให้กว้าง ก็ทำให้เห็นช่องทางแก้ปัญหามากมาย แต่สมพงศ์เลือกเอาทางธรรม

"จิตว่าง" เป็นเรื่องที่สมพงศ์ศึกษามากที่สุดและโหมอ่านหนังสือเหล่านี้อยู่เป็นปีและทบทวนเกือบ 20 ครั้ง

สุดท้ายก็พบว่าการทำงานด้วยจิตว่างนั้นเป็นไปได้ นั่นหมายถึงการที่เราไม่ไปยึดถือสรรพสิ่งที่มีอยู่มากเกินไปยอมรับสัจธรรมที่ว่าทุกอย่างคืออนิจจัง

ยิ่งคนประกอบธุรกิจด้วยแล้ว ถ้านำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นคติเตือนใจและทำได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะคลายความกังวลได้มากเท่านั้น เพราะไม่ใช่เฉพาะความโกรธที่ทำให้จิตใจหดหู่ แต่รวมไปถึงความโลภ หลงอื่น ๆ

โดยเฉพาะในสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่มีความแน่นอน" คนที่ทำใจได้เท่านั้นที่จะไกลจากความตึงเครียดทางประสาท" สมพงศ์ผู้ซึ่งผ่านการฝึกฝนจิตมาแล้วกล่าวอย่างมั่นใจ

หลายคนอาจจะแปลกใจว่าถ้าเป็นอย่างนี้แล้วจะทำธุรกิจให้กำไรได้อย่างไร.?

สำหรับสมพงศ์แล้วได้ยึดหลักธรรมในการใช้ชีวิตและทำธุรกิจ และเห็นว่าไม่เป็นเรื่องที่ขัดแย้งต่อการทำธุรกิจไม่ว่าจะอยู่ในภาวะแข่งขันที่รุนแรงเพียงใดก็ตาม

การทำธุรกิจเป้าหมายก็คือการหากำไร นั่นคือหน้าที่ว่าจะต้องทำอย่างนั้น แต่สมพงศ์บอกว่า ในขณะที่มุ่งแต่กำไรก็ต้องเตือนใจไปว่าเราอาจจะขาดทุนก็ได้ เพราะโดยสภาพแวดล้อมจะมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างที่เราบังคับไม่ได้

เมื่อรู้ว่าปัจจัยไหนที่คุมได้คุมไม่ได้ จะทำให้เราเตรียมรับมือกับแต่ละสถานการณ์ได้ดีขึ้น

บริษัท สายไฟฟ้าฯ นั้นผลิตทั้งลวดทองแดงและสายไฟฟ้า ขายทั้งในและต่างประเทศ โดยสมพงศ์ยึดหลักว่าจะต้องมีสัจจะ ถือคุณภาพเป็นหลัก

สำหรับการติดต่อการค้าในความคิดของสมพงศ์นั้นหากจะต้องติดต่อกับใครซึ่งไม่น่าไว้ใจ ก็เลี่ยงเสียดีกว่า เพราะในธุรกิจจะค้าขายกันได้นาน ก็ต้องอาศัยความจริงใจ "ธุรกิจใหญ่ ที่ประสบความสำเร็จล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่บนความสุจริตทั้งสิ้น"

เมื่อเจรจาการค้าก็ย่อมเจอชั้นเชิงและเล่ห์เหลี่ยมของธุรกิจ สมพงศ์บอกว่าถ้าเขาพูดอะไร ไม่น่าฟัง ไม่ตรงกับใจเรา ก็ใช้วิธีเงียบ

ในธุรกิจไฟฟ้าที่สมพงศ์คลุกคลีมาแล้วกว่า 20 ปี เขาได้พัฒนาและขยายธุรกิจออกไปอย่างเงียบ ๆ

ปัจจุบันมีบริษัทในเครือคือ ฮิตาชิ บางกอกเคเบิ้ล และไทยฮิตาชิ ลวดอาบน้ำยา ช่วงไหนในประเทศมีดีมานด์สายไฟฟ้ามากก็มุ่งตลาดภายใน แต่เมื่อตลาดในประเทศซบเซาก็จะมุ่งตลาดนอกเป็นหลักและอยู่ในฐานะที่แข่งขันได้ทั้งด้านราคาและคุณภาพ

ถึงจุดที่เห็นว่าควรจะขยายกำลังผลิตเมื่อเตาหลอมทองแดงขนาด 8,500 ตันต่อปี เริ่มเต็มกำลังผลิต สมพงศ์ก็เริ่มเสาะหาเตาหลอมใหม่ ซึ่งถ้าจะติดตั้งใหม่ ก็ต้องใช้มาตรฐานขั้นต่ำในตลาดโลกคือขนาด 40,000 ตันต่อปี

สมพงศ์เห็นว่า ถ้าเฉพาะบริษัทของตนทำเพียงรายเดียวก็เกินกำลังตลาดที่ตนมีอยู่ประมาณ 15,000 ตันต่อปี ขณะที่ทางเฟ้ลปส์ดอด์จ ไทยแลนด์ของชุมสาย หัสดิน ผู้ผลิตสาย ไฟฟ้ารายใหญ่อีกแห่งของไทยกำลังจะขยายกำลังผลิตจากตลาดที่ตนมีอยู่ 15,000 ตันต่อปีเช่นเดียวกัน

บังเอิญว่าทั้งสมพงศ์และชุมสายต่างก็หาซื้อเตาหลอมใหม่ด้วยเป้าหมายเดียวกัน จึงไปจ๊ะเอ๋กัน...!

ครั้นจะลงทุนเพื่อทำเฉพาะของตนเองก็เกินกำลังตลาดของแต่ละฝ่าย ขณะที่เตาหลอมขนาดเล็กที่สุดคือ 40,000 ตันต่อปี

ทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มคุยกันเมื่อปี 2531 และเห็นว่าควรจะร่วมกันลงทุน

โดยทางสมพงศ์คือบริษัทสายไฟฟ้าฯ ฮิตาชิ บางกอกเคเบิ้ล ไทยฮิตาชิ ลวดอาบน้ำยา ฮิตาชิ ญี่ปุ่นฝ่ายหนึ่งอีกฝ่ายหนึ่งคือเฟ้ลป์สดอด์จ ไทยแลนด์ สยามอีเลคทริค และซูมิโตโม่ ญี่ปุ่น ร่วมถือหุ้นฝ่ายละ 50%

นั่นก็คือ ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาบริหารชื่อว่าบริษัทไทยคอปเปอร์ ร็อด จำกัด (THAI COPPER ROD) มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ใช้เงินลงทุน 200 ล้านบาท

โรงงานนี้จะผลิตลวดทองแดงขนาด 8 มิลลิเมตร โดยทำให้ทองแดงผ่านความบริสุทธิ์ถึง 99.99% มีทำเลอยู่ที่สมุทรปราการ และได้รับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ

โดยเริ่มผลิตแล้วเมื่อเดือนเมษายนปีนี้ในขนาดกำลังผลิตเดือนละ 2,500 ตัน หรือปีละประมาณ 30,000 ตัน คาดว่าอีก 3 ปีจะใช้เต็มกำลังผลิตตามการขยายตัวของตลาดภายในและจากนั้นก็จะขยายเพิ่มเป็นปีละ 50,000 ตัน

แม้สมพงศ์กับทางเฟ้ลป์สดอด์จ ไทยแลนด์จะผลิตลวดทองแดงร่วมกัน แต่ด้านสายไฟฟ้าก็ยังคงผลิตและแข่งขันกันในตลาดเช่นเดิม

สมพงศ์กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าการร่วมมือลงทุนเตาหลอมเครื่องนี้ ทำให้ต้นทุนอยู่ในอัตราที่ต่ำ แข่งขันกับตลาดได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีซึ่งประสมประสานกันระหว่างสหรัฐกับเยอรมนีที่ทันสมัย ได้มาตรฐานโลกในระบบที่เรียกว่า KRUPP-HAZELETT UNIT

อย่างไรก็ตาม วัตถุดิบคือทองแดงยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศได้แก่ ชิลี แซมเบีย ด้วยการทำสัญญาเป็นปี ๆ ไป

เมื่อบริษัท สายไฟฟ้าฯ กับเฟ้ลป์สดอด์จ ไทยแลนด์ บริษัทซึ่งมีชื่อเสียงในการผลิตสายไฟฟ้าจับมือกัน หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องแปลก...!

แต่เมื่อโลกการจัดการสมัยใหม่ยุคทศวรรษ 90 คู่แข่งขันต่างหันหน้าเข้าหากันเพื่อหาทางร่วมมือทำธุรกิจ แทนที่จะฟาดฟันกันให้ตายไปข้างหนึ่ง และสิ่งนี้เองที่ทำให้หลักกลยุทธ์ BUSINESS ALLIANCE เกิดขึ้นทั่วโลก

สำหรับสมพงศ์นั้นถือว่าเมื่ออะไร ๆ ก็เปลี่ยน จึงต้องปรับตัวให้ทัน มิใช่มุ่งแต่ธุรกิจเฉพาะของตัวเอง แต่จะต้องมองกว้างขึ้น เพื่อความพร้อมในการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งก็เข้าหลักเดียวที่ว่าทุกอย่างอนิจจังนั่นเอง

ไม่ว่าจะทำธุรกิจหรือมีบทบาททางสังคมมากขนาดไหน สมพงศ์ยังคงมีวิถีชีวิตเรียบง่าย อันต่างจากสไตล์นักธุรกิจโดยทั่วไป

สมพงศ์มีตำแหน่งหน้าที่ทางสังคมธุรกิจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นประธานสมาคมนายจ้างเครื่องใช้ไฟฟ้า เลขาธิการสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย ประธานอนุกรรมการติดตามการจัดซื้อสินค้าของรัฐบาล ประธานอนุกรรมการจัดทำหลอดภาพทีวี ประธานอนุกรรมการควบคุมการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมหรือแม้แต่ ประธานอนุกรรมการพิจารณาโครงสร้างภาษีเครื่องใช้ไฟฟ้า

แต่สมพงศ์ไม่เคยรู้สึกวุ่นวายกับชีวิต เนื่องจากเขาได้อาศัยหลักธรรมมาเป็นแนวปฏิบัติ

สุรายาเมาที่เคยติดก็ละได้หมด...!

จากที่ต้องดื่มเหล้าเจือโซดา 2 แก้วก่อนทานข้าว สมพงศ์ก็มีอันตัดสินใจเลิกเมื่อได้ฟังท่านปัญญานันทะภิกขุเทศน์ว่า "เหล้า...ถ้ากินแล้วไม่เมาก็อย่ากิน เพราะความหมายของการกินเหล้าอยู่ที่ว่ากินแล้วต้องเอาให้เมาหรือล้มกันตรงนั้นไปเลย"

สติและสัจจะคือสิ่งที่ทำให้สมพงศ์รู้สึกสงบแม้ในยามทำธุรกิจ..!

เพราะสมพงศ์ผ่านสนามซึ่งต้องชนะตัวเองมาแล้วอย่างหนัก โดยเฉพาะครั้งหนึ่งเมื่อป่วยเป็นไข้หวัด พยาบาลที่เป็นภรรยาของหมอบอกว่า..ขออะไรสักอย่างได้ไหม...? สมพงศ์รับปากทันทีว่า "ได้สิ"

แต่มันเป็นเรื่องที่ใหญ่มากสำหรับสมพงศ์เมื่อถูกขอให้เลิกสูบบุหรี่ จากที่เคยสูบวันละ 2 ซอง...!

เขาใช้ความพยายามอยู่ 2 อาทิตย์อย่างหงุดหงิดในอารมณ์อย่างมาก และไม่กล้าบอกใครว่าจะเลิกสูบบุหรี่ เพราะกลัวทำไม่ได้

แต่เมื่อได้ฟังเทปพระพยอม สมพงศ์ก็ตัดใจเลิกทันที โดยไม่รีรออะไรอีก เมื่อเอาชนะความเคยชินที่เคยอยากได้ นั่นดูเหมือนว่าจะเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ที่เขาภูมิใจ ซึ่งอาจจะยากยิ่งกว่าการทำธุรกิจด้วยซ้ำไป

แม้เขาจะเป็นนักธุรกิจแต่สมพงศ์ยืนยันที่จะใช้ชีวิตอย่างสมถะ ดื่มน้ำเปล่า ไม่ใช้เครื่องประดับแม้แต่นาฬิกา

ตีสี่ คือเวลาตื่นนอนของสมพงศ์จากนั้นก็ทำสมาธิครึ่งชั่วโมง เพื่อเสริมพลังและสติก่อนที่จะต้องเผชิญปัญหาอีกตลอดวัน เสร็จแล้วก็ออกวิ่ง

เขากำหนดตัวเองให้ถึงที่ทำงานไม่เกิน 6.45 น. ด้วยเหตุผลสำคัญที่ว่าจะต้องบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพที่สุด

ด้วยหลักธรรมที่สมพงศ์ปฏิบัติมานาน จึงทำให้มั่นใจได้ว่าเขาจะมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความสุขอันสงบจากใจได้ในทุกสถานการณ์...!



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.