ก่อนปี 2526 ปูนใหญ่จะผลิตปูน ผลิตเยื่อกระดาษหรือสินค้าอื่นใด ทีพีไอแทบจะไม่สนใจ
แต่เมื่อเริ่มมีโครงการปิโตรเคมีแห่งชาติ (ปคช.) เกิดขึ้น ปูนใหญ่เป็นอีกรายหนึ่งที่สนใจลงทุนในแขนงนี้
ปูนใหญ่จึงตั้งบริษัท ไทยโพลิเอททีลีน จำกัด (ทีพีอี) ขึ้นเมื่อปลายปี 2526
เข้าร่วมถือหุ้นในบริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด 15.9% และทีพีไอร่วมถือหุ้น
14.4% โดยมีปตท.เป็น ผู้ถือหุ้นใหญ่ 49%
ยังมีบริษัทดาวน์สตีมอีก 2 บริษัท คือ บริษัท เอชเอ็มซี โลลิเมอร์ จำกัดและบริษัท
ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัดร่วมถือหุ้นเพื่อรับเอททีลีนจากโรงโอเลฟินส์ของปคช.มาผลิตเม็ดพลาสติก
ทีพีอีนั้นไม่เพียงแต่มีโครงการผลิตพีอีในปิโตรเคมี -1 เยี่ยงทีพีไอเท่านั้น
แต่ยังได้รับส่งเสริมให้ผลิตเม็ดพลาสติกพีพีในปิโตรเคมี -2 เช่นเดียวกับทีพีไอ
แต่ทีพีไอจะผลิตได้ก่อนในปีนี้ ขนาดกำลังผลิต 80,000 ตันต่อปี
พีพีนั้นจะต่างกับเอชดีคือ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพีพีจะดูสวย บาง น้ำหนักเบา
แต่ไม่แข็งแรง ขณะที่เอชดีจะทนทานกว่า แต่สวยน้อยกว่า โดยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ตลาดพีพีและเอชดีจะมีส่วนที่คาบเกี่ยวกันอยู่
แต่แนวโน้มนั้นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกจะเลือกใช้เม็ดพลาสติกตรงตามคุณสมบัติของสินค้ามากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ทั้งทีพีไอและปูนใหญ่ต่างก็ได้บีโอไอในการผลิตโพลีออล เม็ดพลาสติกซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตฟองน้ำ
ในยุทธจักรของการค้าปูน ปูนใหญ่ย่อมได้เปรียบ เพราะบุกเบิกและมีความเชี่ยวชาญมากว่า
70 ปี แต่ในยุทธจักรผลิตเม็ดพลาสติกพีอีแล้ว ต้องยกให้ทีพีไอซึ่งเป็นต่อหลายขุมในการสี่ยงลงทุนเป็นรายแรกในภูมิภาคนี้
แม้จะมีอายุเพียงรอบปีเดียว แต่ต้องยอมรับว่าทีพีไอได้รุกไปไกลแล้ว ชนิดที่ทีพีไอกล้าพิสูจน์ว่า
ถ้าพูดถึงความเชี่ยวชาญด้านเม็ดพลาสติกพีอีแล้ว "เขาไม่เป็นรองใคร"
แหล่งข่าวระดับสูงวิจารณ์ "โดยเฉพาะประมวล (เลี่ยวไพรัตน์) ซึ่งคุมทางด้านโรงงาน"
"เป็นเรื่องไม่แปลกที่ปูนใหญ่มาลงทุนเม็ดพลาสติกหรือทีพีไอไปลงทุนปูน
แต่ถ้านักลงทุนรายใหญ่ขยายการลงทุนเป็นหน้ากระดานและทำครบวงจรด้วย ก็จะทำให้การแข่งขัน
ผูกขาดกันอยู่ไม่กี่ราย โอกาสที่รายเล็กจะเกิดก็ยาก เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องอาศัยการเป็นแนวร่วมซึ่งกันและกัน
ทำให้การผลิตอยู่ในมือนักลงทุนไม่กี่ราย" แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว
แต่ในช่วงแรกที่ทีพีไอเข้าตลาด อภิพร ภาษวัธน์ กรรมการผู้จัดการทีพีอีเคยกล่าวว่า
คงต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปีในการครองสัดส่วนตลาด เพราะปัจจุบันทีพีไอยึดตลาดไว้หมด
ทีพีอีซึ่งเป็นบริษัทลูกของปูนใหญ่นั้น ถ้าพูดถึงสไตล์การค้าของปูนใหญ่แล้ว
จะไม่นิยมตัดราคา แต่คราวนี้ทีพีอีต้องนำเข้าเม็ดพีอีในราคาสูง แล้วเข้ามาตัดราคา
20-30% เพื่อดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างตลาดในระยะแรก ขณะเดียวกันก็พยายามตั้งชมรมสมาชิกผู้ใช้เม็ดพลาสติกเพื่อขายเม็ดพลาสติกให้โดยตรง
ด้านทีพีไอก็ไม่น้อยหน้า ตอนหลังให้เอเย่นต์ทำสัญญาผูกมัดกันเลยว่า ถ้าขายเม็ดพลาสติกของทีพีไอแล้วห้ามขายของรายอื่นตลอดไป
จนทำให้บรรดาเอเย่นต์เริ่มเคลื่อนไหวคิดตั้งบริษัทกลางเป็นตัวแทนขายเม็ดพลาสติกของทั้งค่ายทีพีไอและทีพีอีแต่ไม่เป็นผล
ตอนนี้ "ทีพีอี กำลังพยายามตามทดสอบคุณภาพเอชดีของทีพีไอเพื่อประเมินตลาดอยู่
ขณะที่ทีพีไอก็พยายามตามดูคุณภาพของทีพีอีเช่นเดียวกัน" แหล่งข่าววงการพลาสติกเล่าถึงความเคลื่อนไหวในตลาด
เอชดีของทีพีอีที่ผลิตออกมา ส่วนหนึ่งส่งออกไปยังสหรัฐ
พูดไปแล้ว การเข้าตลาดของทีพีไอและทีพีอีนั้นต่างกัน
ทีพีไอเกิดก่อน ท่ามกลางความไม่แน่ใจของผู้ใช้ว่าคนไทยจะผลิตเม็ดพลาสติกได้เอง
ทีพีไอในช่วงนั้นถึงขนาดเปิดตัวขนานใหญ่ให้บรรดาผู้ใช้เม็ดพลาสติกทุกแขนงที่เกี่ยวข้องเข้าชมระบบการผลิตเอชดีในโรงงานอย่างละเอียด
เพื่อยืนยันว่า…ทำได้โดยทีพีไอ ฝีมือคนไทย…"มิใช่นำเข้ามาขายแล้วอ้างว่าผลิตได้เองดังที่โจษขานกัน"
เนื่องจากตอนนั้น เพิ่งจะผลิตเม็ดพลาสติกแอลดีและเอชดีได้เอง ดีมานด์ที่นำเข้าจากต่างประเทศก็หันมาใช้ของทีพีไอแทน
ขณะนั้นรัฐบาลตั้งกำแพงภาษีการนำเข้าแอลดีและเอชดีเพื่อปกป้องผู้ผลิต จนผู้ใช้รู้สึกว่าตนเหมือน
"ลูกไก่ในกำมือ" ที่ทีพีไอคิดจะขึ้นราคาเมื่อไหร่ก็ได้
นั่นเป็นความเจ็บปวดของผู้ใช้ในห้วงเวลาที่ผ่านมา อันเป็นธรรมดาของตลาดธุรกิจใหญ่ที่มีผู้ผลิตผูกขาดเพียงรายเดียว
แม้ว่าจะมีคุณภาพดีตามต้องการสักเพียงใดก็ตาม
การเกิดของทีพีไอนั้น ซัพพลายได้ต่อเนื่อง แต่ไม่พอป้อนความต้องการของผู้ใช้
เมื่อทีพีอีแทรกเข้ามาในตลาด ผู้ใช้เองก็ต้องอาศัยเวลาปรับการเลือกใช้ เพราะการเสี่ยงใช้ยี่ห้อใหม่แค่คุณภาพเม็ดพลาสติกต่างกันเพียงเศษธุลี
คุณภาพผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ออกมาจะเพี้ยน ไปอย่างเห็นได้
ปัญหาของทีพีไอในตอนนี้อยู่ที่ซัพพลายได้ไม่ต่อเนื่องแหล่งข่าวระดับสูงจากวงการพลาสติกกล่าว
"เขาคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการปรับตัว"
อย่างไรก็ตาม การมีผู้ผลิตหลายรายย่อมดีกว่ารายเดียวแน่ จะทำให้แข่งขันกัน
ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์