รายชื่ออาหารและยามัจจุราชจำแลง

โดย บุญธรรม พิกุลศรี
นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2533)



กลับสู่หน้าหลัก

"หลายคนไม่เชื่อว่าประเทศไทยมีตำรับยามากถึง 28,000 ตำรับ เพราะมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีการค้นพบตัวยาได้มากมายนถึงขนาดนั้น ซึ่งก็น่าจะดีถ้ามันเป็นอย่างนั้น และก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออีกเช่นเดียวกันที่ปรากฎว่าประเทศที่มีตำรับยามากมายกว่าทุกประเทศเช่นนี้ กลับเป็นประเทศที่สุขภาพอนามัยของประชาชนกลับย่ำแย่ลงทุกวัน

แต่ความจริงปรากฎว่าที่จำนวนตำรับยามีมากมายถึงขนาดนั้นก็เพราะว่าในตัวยาที่เป็นสูตรหรือสารเดียวกัน มีโครงสร้างทางเคมีเหมือนกัน และรักษาโรคเดียวกันนั้นได้มีการจดทะเบียนขึ้นเป็นตำรับยาภายใต้ชื่อการค้าหลายยี่ห้อเช่นตัวยาพาราเซสตามอล ซึ่งเป็นยาแก้ปวด คนในวงการเภสัชกล่าวว่ามีประมาณไม่ต่ำกว่า 100 ตำรับภายใต้ชื่อทางการค้าต่าง ๆ ของบริษัทยาในปัจจุบัน ประเภทนี้เรียกว่ายาเดี่ยว

ส่วนอีกประเภทหนึ่งเป็นพวกยาผสม กล่าวคือ เอาตัวยาที่มีสรรพคุณอย่างหนึ่งไปผสมกับอีกตัวยาหนึ่ง เช่นจำพวกพาราเซสตามอลเหมือนกัน แต่เอาไปผสมยาถึงสามตัวสี่ตัว เพื่อให้ยาของตัวเองมีสรรพคุณรักษาโรคได้ครอบจักรวาล ประเภทนี้เรียกว่ายาสูตรผสม

ยาประเภทนี้ในทางเภสัชศาสตร์ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งและบางชนิดก็มีกฎหมายห้ามนำไปผสมตัวอื่นบางชนิด เพราะจะทำให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายมนุษย์มากกว่า ที่จะให้ผลในการบำบัดรักษา และผู้ป่วยซึ่งเป็นโรคเพียงอย่างเดียวก็ไม่จำเป็นจะต้องไปกินยาตัวอื่นที่ผสมอยู่ในตำรับเดียวกันนี้เข้าไปด้วย

นอกจากนี้ประชาชนยังจะต้องเข้ามารับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นโดยไม่จำเป็น ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องกำหนดราคายาในประเทศไทยก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์อีกเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่มันเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิต แต่ปรากฎว่าไม่มีการควบคุมราคากันแต่อย่างไร

ในทางเภสัชกรรมแล้วจำนวนตำรับยาที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์นั้นไม่น่าจะเกิน 1,000 ตำรับเป็นอย่างมากที่สุด

ทั้งนี้ก็เพราะว่ายาแม้จะมีคุณประโยชน์มากมาย แต่ก็มีโทษมหันต์

ดังนั้น การมีตำรับยาเป็นจำนวนมาก ๆ จึงเป็นวิบากกรรม ที่น่าเศร้าของประชาชนอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่ายาเป็นสินค้าพิเศษ ที่ย่อมไม่เหมือนกับสินค้าอื่น ๆ ที่จะมองคุณภาพจับต้องมาตรฐาน ด้วยตัวของเขาเองได้ เพราะฉะนั้น การใช้ในประเทศที่พัฒนาแล้วกำหนดให้ใช้โดยฝ่ายผู้เชี่ยวชาญคือแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น

แต่สำหรับประเทศไทยปรากฎว่ามีสถิติที่น่าสนใจดังนี้คือ 20% ของยาที่ขายทั้งหมดเป็นยาที่ขายโดยโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งก็หมายความว่าเป็นยาที่ถึงมือประชาชนโดยผ่านแพทย์และเภสัชกร ส่วน 10% เป็นขายโดยโรงพยาบาลหรือคลีนิคของเอกชน ซึ่งก็น่าจะมีการผ่านแพทย์และเภสัชกรเช่นเดียวกัน

ส่วนที่เหลืออีก 70% เป็นยาที่ประชาชนใช้โดยผ่านหมอตี๋ตามร้านขาย ซึ่งสำหรับ ร้านขายยาเมืองไทยแล้วแทบจะเรียกได้ว่าขายยากันแบบซุปเปอร์มาเก็ตกันเลยทีเดียว เรียกว่าซื้อง่ายขายคล่องขอให้จ่ายเงินให้ถูกต้องก็แล้วกัน

ยาซึ่งเป็นที่พึ่งของชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยต่อไปได้เสมือนหนึ่งเป็นเทวดาผู้ช่วยชุบชีวิตมนุษย์ แต่ถ้าควบคุมมันไม่ได้ ปล่อยให้ประชาชนเผชิญชะตากรรมเอาเองเช่นนี้ มันก็จะเหมือนมัจจุราชจำแลงดี ๆ นี่เอง

ยาต่อไปนี้เป็นยาบางส่วนเพียงน้อยนิดของยาประเภทมัจจุราช ซึ่งมีมากมายมหาศาล

กลุ่มยา CYPROHEPTADINE ซึ่งเป็นยาต้านฮิสตามีน หรือยาแก้แพ้ ยานี้ในประเทศที่พัฒนาแล้วระบุในข้อบ่งใช้ให้เป็นยาที่ใช้สำหรับแก้แพ้เท่านั้น และมีคำเตือนไม่ให้กินยาแก้แพ้เกินขนาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทารก เด็กเล็ก เพราะอาจทำให้ตายได้

แต่เนื่องจากว่าอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นระหว่างกินยานี้จะทำให้เกิดอาการง่วงนอนและต้องการรับประทานอาหาร บริษัทค้ายาในเมืองไทยจึงนำผลอาการข้างเคียงมายื่นขอขึ้นทะเบียนยาที่มีสรรพคุณเป็นยาอ้วนท้วนสมบูรณ์

โดยเฉพาะยานี้ภายใต้ชื่อการค้าอย่างหนึ่งได้รับอนุญาตจาก FDA ให้โฆษณาทางโทรทัศน์ว่าเป็นยาอ้วนสำหรับเด็ก ต้องให้เด็กกินเป็นประจำทุกวัน จะทำให้เด็กอ้วนท้วนสมบูรณ์แข็งแรง ซึ่งจะเห็นว่ากลายเป็นละเรื่องกับสรรพคุณยาที่แท้จริง และเอาคำเตือนแจ้งโทษของมันมาเป็นสรรพคุณยาแทน

ยาชนิดนี้มีการขึ้นทะเบียนอนุญาตผลิตและจำหน่ายทั้งในรูปของยาเดี่ยวและยาผสมภายใต้ชื่อการค้าหรือยี่ห้อต่าง ๆ กว่า 20 ยี่ห้อในปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีอนุญาตให้การโฆษณาด้วยวิธีที่แยบยลที่สุด

ซึ่งถ้าจะว่ากันจริง ๆ แล้วก็ควรจะต้องถอนทะเบียนยาพวกนี้ออกจากตลาดเสียเลยจะเป็นการดีที่สุด เพราะพิษของมันจริง ๆ ก็คือเป็นยาที่ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เกิดอาการประสาทหลอน ชัก และมีผลถึงระบบหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่งทำให้ช็อคและถึงตายได้ในทันที

กลุ่มยา ANTIDIARRHOEA หรือยาต้านจุลชีพ ซึ่งมนุษย์ได้นำมาใช้เป็นยาแก้โรคท้องร่วงในเมืองไทยกว่า 50 ยี่ห้อ ที่ผสมตัวยาเหล่านี้อยู่ ซึ่งองค์การอนามัยโลกบอกว่า ยังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัดว่ายาเหล่านี้มีคุณค่าในการรักษาโรคท้องร่วงอย่างฉบับพลันหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น CLIO QUINOL, CHLORAMPHENICOL ผสมกับ PHTHALYLSULFATHI ซึ่งนอกจากจะไม่มีประสิทธิภาพแล้วยังอาจทำให้เชื้อดื้อยา และมีอาการโรคท้องร่วงเรื้อรังได้ และเนื่องจากตัวนี้จะไปทำลายจุลชีพที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ จึงให้เกิดอาการลำไส้ใหญ่อักเสบได้

นักวิชาการทางการแพทย์และเภสัชกร พยายามที่จะให้สำนักงานอาหารและยา ยกเลิกทะเบียนยาที่มีตัวยาเหล่านี้ผสมออกจากตลาดเสียก่อนที่ประชาชนจะเสียหายมากกว่านี้ เพราะมียาอื่นที่ใช้แก้โรคท้องร่วงแบบฉับพลันได้ดีกว่าและไม่เกิดอาการดังกล่าว แม้แต่น้ำเกลือแบบ ชาวบ้าน ๆ ก็สามารถแก้ได้แล้วโดยไม่ได้รับอันตรายใด ๆ

กลุ่มยาสูตรผสมพวก ESTROGEN-PROGESTERONE หรือ E.P. DRUGS เพื่อใช้ในยาคุมกำเนิด ทดสอบการตั้งครรภ์ รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้เตือนให้เลิกใช้ยานี้ในการทดสอบการตั้งครรภ์เมื่อปี 2524 เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลแล้วยังจะเกิดผลร้ายต่อทารกในครรภ์ด้วยในส่วนที่ยังใช้อยู่ก็ต้องมีข้อบ่งใช้และคำเตือนอย่างชัดแจ้ง

สำหรับประเทศไทยได้เริ่มนำยานี้มาขึ้นทะเบียนขายตั้งแต่ปี 2518 โดยระบุข้อบ่งใช้ว่า "รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ" และมีโฆษณาขายกันอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน มีประมาณ 18 ตำรับ ส่วนใหญ่จึงใช้ไปในลักษณะเป็นยาทำแท้ง

ในทางการแพทย์มองว่าเป็นข้องบ่งใช้ที่ครอบจักรวาล ซึ่งในทางโฆษณามีทั้งระบุว่าแก้อาการปวดประจำเดือน ไม่สบายก่อนมีประจำเดือน หรือแม้แต่ใช้ป้องกันการแท้ง

ยา GLAFENINE ซึ่งเป็นยาแก้ปวดที่มีผลทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงถึงขนาดช้อคและตายได้ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดภาวะไตวาย และอาการเป็นพิษต่อตับอีกด้วย

มีผู้ผลิตยาในประเทศไทยทำการโฆษณายาตัวนี้ว่าใช้สำหรับบรรเทาอาการปวดหลาย ๆ วัน และปวดทั่ว ๆ ไป โดยไม่ได้ให้คำเตือนเกี่ยวกับอาการอันไม่พึงประสงค์ที่จะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังมีการโฆษณาสรรพคุณที่ใช้กับอาการปวดเล็ก ๆ น้อย ด้วย เช่นปวดศรีษะ ปวดฟัน ปวดประจำเดือน มีขายตามร้านขายยาโดยทั่วไป และมีอยู่ประมาณ 4 ยี่ห้อ ที่ขายกันอยู่ในประเทศไทย

CAFFEINE ซึ่งผสมอยู่ในยาชูกำลังทางการแพทย์และเภสัชถือว่าเป็นยา โดยเฉพาะ คาเฟอีนที่มีขนาดสูงถึง 100 mg ต่อการดื่มหนึ่งครั้งตามขนาดของ FDA ยกเว้นไว้ไม่จัดอยู่ในจำพวกยาอันตราย แต่ปรากฎว่าเครื่องดื่มชูกำลังซึ่งกำลังเป็นสินค้าที่กำลังนำตลาดอยู่ทุกวันนี้ มีส่วนผสมเต็ม 100 mg พอดี ขาดอีก mg เดียวก็จะกลายเป็นยาอันตราย ทั้งนี้เพราะคาเฟอีนใน ยาชูกำลังนั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นยาโดยชัดแจ้ง กล่าวคือใช้เพื่อให้เกิดกำลัง เข้มแข็ง เต็มไปด้วยพลัง และโดยตัวของมันเองก็เป็นสารที่ไปกระตุ้นประสาทส่วนกลางใกล้กับวัตถุออกฤทธิต่อจิตและประสาทเสียด้วยซ้ำไป

อาการที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการกินคาเฟอีนก็คือจะเกิดอันตรายแก่เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี สมองจะได้รับผลกระทบกระเทือน หญิงมีครรภ์จะทำให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโตไม่เต็มที่ และถ้ากินติดต่อกันไปจะทำให้ติดได้ เพราะต้องคอยกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา สมองส่วนกลางจึงจะทำงานได้

และเดิมทีเดียวสินค้าพวกนี้ก็มีการขึ้นทะเบียนเป็นยา แต่ปรากฎว่าอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร ซึ่งมาตรการในการควบคุมไม่เข้มงวดเท่ากับเป็นยา ทั้งด้านการโฆษณา การระบุข้อบ่งใช้และคำเตือน ให้เพียงพอเท่าที่ประชาชนจะทราบข้อเท็จจริงได้ เพราะขณะนี้ประชาชนก็เข้าใจว่ามันเป็นยาชูกำลัง แต่หารู้ไม่ว่ามันเป็นยาอันตราย

น้ำเกลือแร่ ซึ่งมีการบรรจุขวดขายทางสำนักงานอาหารและยาอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร แต่ในทางการแพทย์และเภสัชกรยังเห็นว่าน่าจะเป็นพวกยามากกว่า เพราะเหตุว่าน้ำเกลือ จริง ๆ นั้น แพทย์จะใช้ก็เฉพาะกรณีให้มันเข้าไปทดแทนน้ำเกลือในร่างกายที่ขาดไปเพราะอาการท้องเสียหรือ อาการป่วยที่เสียกำลังมาก ๆ

และถ้าใช้กับคนปกติ หรือเสียเหงื่อธรรมดา แต่ไปเข้าใจเอาตามที่โฆษณาว่าเสียเหงื่อมาก จะต้องทดแทนด้วยน้ำเกลือแร่ จะทำให้เกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ขึ้นคือมันสมองบวม มีอาการเหมือนกับไวรัสขึ้นสมองและถ้ารักษาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สามารถจะทำให้ตายได้

แต่ถ้าให้มันขึ้นทะเบียนเป็นยาก็ต้องระบุส่วนผสม ข้อบ่งใช้ และคำเตือน รวมทั้งการ ควบคุมไม่ให้มีการโฆษณามาก ประชาชนจะได้ไม่บริโภคเกลือเข้าไปในร่างกายอย่างฟุ่มเฟือยมากมายอย่างเช่นปัจจุบัน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.