ถ้ามองในแง่ของการพัฒนาประเทศแล้วถือว่ากฎหมายประกันสังคมเกิดขึ้นด้วยสายตา
ที่มองการณ์ไกล เป็นการป้องกันและตรียมแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากไทยกำลังเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรม
ซึ่งเป็นภาพที่เราเริ่มเห็นได้ชัดเจนในขณะนี้
จะเห็นว่าเกษตรกรได้กลายมาเป็นแรงงานรับจ้างแทนที่จะเป็นผู้ขายผลผลิตอย่างเก่า
อันเป็นผลพวงจากอุตสาหกรรมที่ได้ขยายตัวออกสู่ภูมิภาค ที่ดินถูกกว้านซื้อ
ขณะที่พื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่กำลังกลายเป็นเขตอุตสาหกรรม และอีกส่วนหนึ่งนั้น
ต่อไปจะดำเนินการธุรกิจเกษตรโดยบริษัทธุรกิจ และอาศัยเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
จึงมีแนวโน้มที่ชัดเจนว่า ในอนาคตประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจะกลายเป็นลูกจ้างเสียส่วนใหญ่
เพระการทำไร่ทำนาได้เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการไปในรูปของอุตสาหกรรมแล้ว ดังนั้นกฎหมายประกันสังคมจะกลายเป็นส่วนควบของสังคมอุตสาหกรรมเลยทีเดียว
ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและถูกต้องในการออกกฎหมายฉบับนี้มาการที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกันรับผิดชอบในการจ่ายเงินร่วมกัน
ถ้าไม่ใช่การประกันสังคมแล้วรัฐจะต้องรับภาระเพิ่มขึ้น
การที่เรามีกฎหมายประกันสังคม โดยกำหนดให้นายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน และรัฐบาลออกเงินสมทบฝ่ายละ
1.5% ของอัตราเงินเดือนแต่สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือนนั้นโดยส่วนตัวแล้วมองว่าเป็นการลดภาระของรัฐบาล
นั่นก็คือรัฐออกเพียงส่วนเดียว อีกสองส่วนที่เหลือนายจ้างกับลูกจ้างก็จ่ายกันเอง
อันที่จริง เรามีกฎหมายกองทุนทดแทนที่จะให้หลักประกันแก่ลูกจ้างในเวลางาน
แต่กฎหมายประกันสังคมจะเป็นส่วนที่เสริมจากกฎหมายกองทุนทดแทน โดยจะให้หลักประกันแก่ลูกจ้างในองค์กรที่มีตั้งแต่
20 คนขึ้นไปในระยะแรก 4 ประเด็น คือ คลอดบุตร เกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย
ทุพพลภาพ หรือตายนอกงาน ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่มี แต่พอมีกฎหมายประกันสังคม
ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่เสริมเพิ่มขึ้นจากกองทุนทดแทน
เมื่อเป็นอย่างนี้ หลายคนเป็นห่วงว่าจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุน เนื่องจากเห็นว่าจะกลายเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
และจะทำให้พ่อค้าผลักภาระไปให้ผู้บริโภคด้วยการขึ้นราคาสินค้าตามต้นทุนที่สูงขึ้นนั้น
อันนี้มีผลกระทบอยู่บ้างในบางส่วน
สำหรับบริษัทใหญ่ที่ให้สวัสดิการอะไรต่าง ๆ ดีกว่าที่กฎหมายประกันสังคมกำหนดไว้
ก็สามารถ CLAIM จากกรรมการประกันสังคมได้ ส่วนบริษัทที่มีสวัสดิการยังไม่ดีนักอาจจะคิดว่าเป็นภาระต้นทุนนั้น
ที่จริงการสมทบเงินเข้ากองทุนประกันสังคมไม่ได้เป็นค่าใช้จ่ายที่จะกระทบโดยตรงเหมือนกับค่าจ้าง
ค่าจ้างโดยทั่วไปสำหรับธุรกิจไฮเทคจะคิดเป็นประมาณ 10% ของต้นทุน ส่วนกิจการที่ต้องใช้แรงงานฝีมือมาก
ๆ เช่นเจียระไนพลอย ไม่น่าจะเกิน 30% และใน 45% ของค่าจ้างจะเป็นส่วนของสวัสดิการ
เชื่อว่ากฎหมายประกันสังคมจะมีผลกระทบน้อยกว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ เพราะมีการกำหนดแน่นอนว่าจะใช้เมื่อไหร่จะต้องจ่ายเงินเท่าใด
นายจ้างก็วางแผนและคำนวณต้นทุนของตนได้ล่วงหน้า และวางแผนการลดต้นทุนได้
การวางแผนลดต้นทุนเพื่อคุณภาพของสินค้าให้ได้มาตรฐานที่จะมีกำไรเหมือนเดิมนั้น
คิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องผลักภาระให้ผู้บริโภคเสมอไป และน่าจะทำได้ยากขึ้น
เพราะขณะนี้มีการแข่งขันกันในตลาดมาก ไม่เฉพาะแต่ในประเทศ และขยายออกไปสู่ตลาดโลก
การเพิ่มราคาสินค้าจะทำให้แข่งขันได้ยากขึ้นซึ่งไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดี
แต่นายจ้างจะต้องเพิ่มผลิตภาพหรือ PRODUCTIVITY ให้สูงขึ้นด้วยการพัฒนาคุณภาพของบุคลากรและระบบงาน
ให้ดียิ่งขึ้นพร้อมกับลดต้นทุนการผลิต โดยไม่กระเทือนต่อคุณภาพของสินค้า
เช่น ให้เกิดของเสียน้อยลงหรือเป็นศูนย์ได้ก็ยิ่งดี
เมื่อผู้ประกอบการรู้ว่าเป็นภาระหน้าที่ที่จะต้องจ่าย ย่อมเป็นเงื่อนไขที่เขาจะต้องปฏิบัติตาม
และวางแผนได้ล่วงหน้า
ขณะเดียวกัน นายจ้างเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จึงถือว่าเป็นความรับผิดชอบที่เขาจะต้องมีหน้าที่ส่วนนี้ต่อสังคมด้วยเช่นเดียวกัน
เพราะแต่ละส่วนก็เป็นของสังคมกันและกันที่เรียกว่า SOCIAL PARTNER เมื่อทุกฝ่ายได้รับผลประโยชน์
มีความมั่นคงสังคมก็อยู่กันได้อย่างมีความสุขขึ้น แต่ถ้ารากฐานสังคมไม่มั่นคงแล้วผู้ประกอบการก็อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน
จากสภาพสังคมที่กลายเป็นอุตสาหกรรม 3-5 ปีจากนี้ไปตลาดจะเป็นของผู้ใช้แรงงาน
การมีกฎหมายนี้ออกมาจะเป็นหลักประกันในขั้นต้นแก่ผู้ใช้แรงงาน
แต่ในช่วงแรกอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง ยังห่วงกันว่าอาจจะมีการเรียกร้องให้นายจ้างเป็นคนออกเงินสมทบกองทุนประกันสังคมให้เพราะที่ผ่านมา
แรงงานจะได้สวัสดิการฟรี แต่ต่อไปนี้เขาจะต้องเป็นผู้จ่ายด้วย ประเด็นนี้
นายจ้างจะต้องทำความเข้าใจกับพนักงานของตนให้ชัดเจน แม้ว่ากฎหมายฉบับนี้จะเกิดขึ้นจากการผลักดันของด้านแรงงานเป็นหลักก็ตาม
ผมว่าการประกันสังคมจะเป็นการบอกเราว่า แต่ละฝ่ายต่างก็มีสิทธิที่จะรับผลประโยชน์นั้นจากสังคม
และมีหน้าที่ในการร่วมจ่ายด้วย
มั่นใจว่ากฎหมายประกันสังคมไม่น่าจะมีปัญหาต่อผู้ประกอบการ แต่สิ่งที่จะเป็นปัญหาคือค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่า
ซึ่งไม่มีความแน่นอน และดูเหมือนว่ามีปัญหามาก ทำให้คาดการณ์และวางแผนล่วงหน้าไม่ได้
การคิดต้นทุนก็ไม่แน่นอน ซึ่งจะโยงไปถึงการตั้งราคาสินค้าและแผนกำไรของบริษัท
ถ้าเปลี่ยนกะทันหันจะส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทอย่างมาก
สิ่งที่น่าห่วงไม่ใช่เรื่องกฎหมายประกันสังคม แต่เป็นเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่า
รัฐบาลจะต้องประกาศให้ชัดเจนว่าจะใช้นโยบายค่าจ้างอย่างไร เราต้องรู้ก่อนว่าเราจะพัฒนาการลงทุนโดยใช้ค่าจ้างต่ำเป็นตัวดึงดูดต่อไปหรือไม่
ถ้าจะใช้กลยุทธ์นี้ ก็ต้องพิจารณากันให้ดีว่าเวลานี้ค่าจ้างของเรานำหน้ามาเลเซียไปแล้ว
แต่ถ้าจะใช้นโยบายค่าจ้างสูงหรือ HIGH-WAGE POLICY อย่างที่สิงคโปร์ใช้
ก็ควรประกาศให้ชัดเจน นักลงทุนจะได้ปรับตัวและวางแผนได้
ส่วนที่เกรงกันว่าเมื่อบังคับใช้กฎหมายประกันสังคมแล้วจะมีปัญหาในการบริหารกองทุนประกันสังคม
จากความล่าช้าของกลไกราชการนั้น ไม่น่าจะมีปัญหาหนักหนา ส่วนความขลุกขลักในช่วงแรกก็คงมีบ้าง
เนื่องจากกฎหมายประกันสังคมเป็นกฎหมายแรงงานซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่เป็นทั้งแพ่งและกฎหมายอาญาผสมผสานกัน
การบังคับใช้จะต่างกับกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา
แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคยกับกฎหมายแรงงาน ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องวิตกบ้าง
อย่างกฎหมายกองทุนเงินทดแทนที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามีผลดีอยู่ไม่น้อย
ขณะที่กฎหมายประกันสังคมจะมีลักษณะพิเศษเฉพาะต่างกับกฎหมายกองทุนเงินทดแทนแม้จะเป็นการบริหารแบบไตรภาคีเหมือนกัน
แต่กรรมการประกันสังคมจะประกอบไปด้วยฝ่ายละ 5 คนเท่ากัน แต่กองทุนทดแทนจะมีราชการ
8 คน นายจ้างและแรงงานฝ่ายละ 1 คน
กรรการชุดนี้จะเป็นผู้วางนโยบายซึ่งเชื่อว่าจะมีการถกเถียงอภิปรายกันอย่างกว้างขวางก่อนที่จะมีมติเรื่องใดออกมา
การที่ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่าเทียมกัน และถ้าใช้อำนาจหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพกฎหมายฉบับนี้จะเป็นฉบับแรกที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ส่วนผู้ปฏิบัติงานก็คือสำนักงานประกันสังคมที่จะตั้งขึ้นใหม่โดยจะเป็นกรม
ๆ หนึ่งแยกออกจากกรมแรงงาน ขึ้นตรงกระทรวงมหาดไทย สำนักงานนี้จะมีผู้อำนวยการดูแลเทียบเท่าอธิบดี
และจะแยกสายงานออกไปตามความเหมาะสม ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ทำงานก็เป็นส่วนที่มีประสบการณ์ด้านกองทุนทดแทนมาแล้วและเพิ่มอัตรากำลังขึ้นใหม่
คิดว่าแนวโน้มการบริหารงานประกันสังคมจะมีประสิทธิภาพมากกว่าราชการทั่วไป
เพราะเงินกองทุนเป็นเงินของคนอื่น ทั้งของนายจ้างและลูกจ้าง ไม่ใช่ของรัฐอย่างเดียว
และเชื่อว่ากรรมการของแต่ละฝ่ายคงไม่นิ่งดูดาย และจะกำกับดูแลการบริหารอย่างใกล้ชิดอย่างที่เป็นได้ชัดจากกองทุนเงินทดแทน
จะเห็นว่า แม้แต่ตอนนี้ยังพูดกันเลยว่า เงินกองทุนจะบริหารอย่างไรเพื่อให้เกิดดอกผลสูงสุดโดยไม่ต้องเสี่ยง
อย่างกองทุนเงินทดแทนจะฝากแบงก์ ซึ่งมองกันว่าน่าจะมีวิธีการอื่นที่ได้ประโยชน์ดีกว่า
เช่นฝากแบงก์ส่วนหนึ่ง และเอาไปลงทุนอีกส่วนหนึ่งที่จะทำให้กองทุนงอกเงยขึ้น
ซึ่งจะส่งกลับไปเป็นสวัสดิการของลูกจ้างได้เพิ่มขึ้น อาทิ ลงทุนร่วมกับการเคหะ
เป็นต้น
การออกกฎหมายประกันสังคมครั้งนี้ แม้จะยังไม่ครอบคลุมไปถึงทุกกิจการ แต่ในเบื้องต้นจะช่วยหนุนให้กฎหมายค่าแรงเข้าระบบมากขึ้น
โดยเฉพาะกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำ เพราะการหักเงินเข้ากองทุนจะหักจากค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับจริง
ซึ่งเป็นการตรวจสอบไปในตัวด้วยว่า นายจ้างรายนั้นจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายหรือไม่
และทำให้มีผลเป็นจริงมากขึ้น
ขณะเดียวกัน กฎหมายฉบับนี้ก็จะกลายเป็นปัจจัยผลักดันหลักให้นายจ้างมาเน้นการบริหารคนอย่างจริงจังมากขึ้น
ให้มีฝีมือในผลิตภาพสูงคุ้มกับต้นทุนด้านแรงงานที่เขาได้ลงทุนไป จะทำให้องค์กรต่าง
ๆ บริหารบุคคลอย่างเป็นระบบกว่าที่ผ่านมา
สถานการณใหม่จะบังคับให้นายจ้างจัดระบบบริหารค่าจ้างที่จะควบคุมและแจกแจงผลงานได้
พร้อมกันนั้นจะทำให้มีการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับค่าจ้างขั้นต่ำตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
ซึ่งต่อไปเราจะเห็นนโยบายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
นอกจากนี้แล้ว ในฐานะที่เป็นรองประธานสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์ฯ เชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้จะผลักดันให้องค์การบริหารแรงงานปรับตัวไปด้วย
นั่นคือ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมจะเกิดขึ้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอันนี้