วิทยา ว่องวาณิช "แมคอินทอช" แค่เป็นหวัด เดี๋ยวก็หาย...


นิตยสารผู้จัดการ( มีนาคม 2539)



กลับสู่หน้าหลัก

"อย่าหวั่นไหวกับมัน ผมเห็นมาแล้วถึง 10 ปี ทุกอย่างเป็นอนิจจัง" คำตอบแฝงไปด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมของ วิทยา ว่องวาณิช รองผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ ไอทีเทอร์มินอลโปรดักส์ บริษัทสหวิริยา โอเอ เมื่อถูกถามถึงสถานการณ์ของแอปเปิล คอมพิวเตอร์ที่กำลังเผชิญกับมรสุมธุรกิจ ด้วยตัวเลขขาดทุนในปีที่แล้วถึง 68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,700 ล้านบาท แถมต้องโละคนงานอีก 1,300 คน และอาจต้องยุติการผลิตเครื่องระดับโลว์เอ็นที่ทำกำไรไม่ถึง 20% จนถึงขั้นมีข่าวเจรจาขายกิจการให้กับซันไมโครซิสเต็มส์

เหตุการณ์พลิกผันที่เกิดกับแอปเปิล คอมพิวเตอร์ เจ้าของเทคโนโลยีในนามแมคอินทอชคู่แข่งตัวฉกาจของพืซี ที่แทรกตัวอยู่ในตลาดคอมพิวเตอร์อย่างเหนียวแน่น จนเป็นเสมือน "สังคมเล็กๆ" ย่อมสั่นคลอนความรู้สึกของคนทั่วไปไม่น้อย

แต่ในสายตาของวิทยาแล้ว เขากลับมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของธุรกิจที่ต้องมีขึ้นมีลง ซึ่งผู้ผลิตพีซีคอมพิวเตอร์ ไอบีเอ็ม หรือคอมแพค ก็เคยเจอกับสถานการณ์เหล่านี้มาแล้วก็ผ่านพ้นมรสุมเหล่านี้ไปได้ ซึ่งแอปเปิลก็เป็นเช่นเดียวกัน

"ผมมั่นใจ และเอาชีวิตฝากไว้ตรงนี้" วิทยายังคงตอกย้ำถึงการเป็นสายเลือดของแอปเปิล คอมพิวเตอร์ อย่างเต็มตัว วิทยาเป็นพนักงานคนแรกที่ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของสหวิริยาซิสเต็มส์ ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายแรกและรายเดียวที่ขายแมคอินทอชมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา

คำกล่าวที่ว่า "วิทยาเกิดมาพร้อมกับแอปเปิลคอมพิวเตอร์ในไทย" ดูไม่เกินเลยเท่าใดนัก เพราะในขณะที่มืออาชีพในวงการคอมพิวเตอร์คนอื่นๆ เลือกที่จะเปลี่ยนสถานที่ทำงาน ตามภาวะการขาดแคลนกำลังคนในธุรกิจสายที่มีการแย่งชิงตัวกันอย่างสนุกสนาน แต่วิทยากลับเลือกอยู่กับสหวิริยา

วิทยาเป็นศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เริ่มหาประสบการณ์ทำงานเป็นครั้งแรกกับบริษัทดาต้าแมท ซึ่งในเวลานั้นดาต้าแมทร่วมธุรกิจกับซัมมิทเอ็นจอเนียริ่งทำเรื่องบริการเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ทำอยู่ 2 ปี เขาจึงตัดสินใจบอนลัดฟ้าไปใช้ชีวิตนักศึกษาอีกครั้งที่สหรัฐอเมริกา ปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจจากเนชั่นแนลยูนิเวอร์ซิตี้ คือ ดีกรีทางการศึกษาใบที่สองที่วิทยาได้มาแบบบังเอิญ เพราะความตั้งใจแรกของเขา คือ คณะคอมพิวเตอร์ไซน์ เท็กซัสยูนิเวอร์ซิตี้ แต่ในระหว่างการตอบรับจากมหาวิทยาลัย วิทยาจึงสมัครเรียนที่เนชั่นแนลยูนิเวอร์ซิตี้ รัฐแคลิฟอร์เนียไปพลางๆ จนกระทั่งจบหลักสูตร

หลังจบการศึกษา วิทยาบินกลับมาประกอบอาชีพส่วนตัวด้านอิเล็กทรอนิกส์ระยะหนึ่ง ก่อนได้รับการชักชวนจากแจ็ค มิน ชุม ฮู บิ๊กบอสชองสหวิริยาโอเอให้เข้าร่วมบุกเบิกตลาดให้กับแอปเปิลคอมพิวเตอร์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ซึ่งในช่วงนั้นแอปเปิลคอมพิวเตอร์ยังใหม่มากสำหรับตลาดในเมืองไทย

"ผมยอมรับว่าเสี่ยงมาก เพราะในเวลานั้นคนไทยยังไม่รู้จักแมคอินทอชเลย ถึงขนาดที่มีหนังสือพิมพ์ลงว่า เป็นครั้งแรกที่คุณแจ็คเลือกสินค้าผิดพลาด" วิทยาเล่า

เป็นดังคาดในช่วงปีแรกของการเปิดตลาด วิทยาขายแมคอินทอชไม่ได้แม้แต่เครื่องเดียว ปัญหาสำคัญในเวลานั้นคือยังไม่มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ภาษาไทยออกมารองรับกับเครื่องแมคอินทอช จนกระทั่งสหวิริยาขอเป็นผู้พัฒนาภาษาไทยขึ้นเอง สถานการณืจึงเริ่มกระเตื้องขึ้น

ไทยรัฐและเดลินิวส์เป็นลูกค้าสองรายแรกที่ดึง ทำให้แมคอินทอชพ้นขีดอันตราย ธุรกิจสิ่งพิมพ์ เป็นลูกค้ากลุ่มแรกที่แมคอินทอชเข้าไปเจาะตลาด และด้วยเทคโนโลยีเฉพาะตัว ทำให้แมคอินทอชยึดครองส่วนแบ่งตลาดในลูกค้าธุรกิจสิ่งพิมพ์อย่างเหนียวแน่น ด้วยตัวเลขที่วิทนายืนยันว่ามีส่วนแบ่งตลาดถึง 95% ในกลุ่มลูกค้าสิ่งพิมพ์

"ผมบอกได้เลยว่าเวลานี้ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ทุกแห่งจะต้องมีเครื่องแมคอินทอชใช้งานอยู่" วิทยากล่าวอย่างภูมิใจ

แน่นอนว่า ตลาดสิ่งพิมพ์ไม่ใช่เป้าหมายเพียงอย่างเดียวแน่ ลูกค้าประเภทการศึกษาและบ้านพักอาศัย รวมทั้งอินเทอร์เน็ตก็เป็นสิ่งที่วิทยาตั้งเป้าหมายในการขยายตลาดให้กับแอปเปิลมาตลอด

แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แม้ว่าระบบปฏิบัติการของแมคอินทอชจะมีคุณสมบัติอันโดดเด่น "ง่ายต่อการใช้งาน" ด้วยคำสั่งที่เป็น "ไอคอน" เฉือนระบบปฏิบัติการของพีซีในยุคแรกๆ จนทาบไม่ติด แต่จุดเด่นนี้ใช่ว่าจะยั่งยืน เมื่อไมโครซอฟท์เองก็หันมาพัฒนาระบบปฏิบัติการ "วินโดว์" ออกมาใช้กับพืซี ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกันแถมยังมีราคาถูกกว่าและยังมีแอพพลิเคชั่นประเภทต่างๆ ออกมามากมาย

ตลอดเวลาที่ผ่านมา สหวิริยาไม่สามารถขยายตลาดแมคอินทอชไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ แม้แมคอินทอชจะครองตลาดลูกค้าสิ่งพิมพ์เกือบ 100% แต่ในตลาดอื่นๆ แมคอินทอชเข้าไปมีบทบาทน้อยมาก โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บรรดาพีซีชื่อดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไอบีเอ็ม คอมแพค ดิจิตอล ฮิวเลตต์แพคการ์ด ต่างกระหน่ำราคาลงมากันอย่างสุดขีด แต่คุณสมบัติกลับเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว และในระหว่างที่บรรดาพีซีเหล่านี้ผลัดกันช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดกันอย่างสนุกสนาน แมคอินทอชกลับแฝงตัวอยู่อย่างเงียบเชียบในตลาด

วิทยายอมรับว่า แมคอินทอชไม่ได้ "แข็งแรง" เหมือนกับพีซี สิ่งที่สหวิริยาเลือกคือการทำตลาดเฉพาะที่มีความถนัดเท่านั้น

"เราไม่สามารถป้อนสินค้าให้กับคนได้ทุกกลุ่ม ในเมื่อคุณมีข้อจำกัดที่ทำได้เท่าที่กำลังจะทำได้ และในอนาคตพีซียี่ห้อต่างๆ ก็ต้องทำแบบเดียวกับเรา เพราะไม่มีใครจะเหมาะกับทุกตลาด" วิทยากล่าว

การเลือกเฉพาะตลาดที่มีความถนัดและแข็งแกร่งอยู่แล้ว ก็นับว่ามีข้อดีไม่น้อย เพราะสหวิริยาสามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรจากการขายเครื่องแมคอินทอชในธุรกิจสิ่งพิมพ์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แทนที่จะไปแข่งขันตัดราคากับพีซีเพื่อเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มที่ใช้กลยุทธ์ราคามาเป็นตัวทำตลาด ดีไม่ดีก็อาจเข้าเนื้อได้ง่ายๆ

ดูเหมือนโชคดีของแมคอินทอช เพราะในช่วง 2-3 ปีมานี้ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ขยายตัวออกไปมากมาย มีหนังสือพิมพ์เกิดใหม่บนแผงหลายฉบับ และในจำนวนเหล่านี้มีหลายรายเลือกใช้แมคอินทอช ปีที่ผ่านมา สหวิริยามีรายได้จากการขายแมคอินทอช 525 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าสิ่งพิมพ์ แต่อย่าลืมว่า การที่มีจุดแข็งในลูกค้าเพียงกลุ่มเดียวก็นับเป็นเรื่องเสี่ยงไม่ใช่น้อย เพราะเมื่อมีเหตุการณ์พลิกผันกับลูกค้าในกลุ่มนี้ขึ้นก็ย่อมกระทบกับตลาดของแมคอินทอช โดยตรง ซึ่งแมคอินทอช ยังไม่มีฐานลูกค้าอื่นๆ มาสนับสนุนเท่าใดนัก

อีกทั้งคู่แข่งรายอื่นก็พร้อมที่จะเข้ามาช่วงชิงตลาดของแมคอินทอช โดยคู่แข่งมีฐานจากตลาดอื่นเป็นส่วนสนับสนุนที่ดีอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น มรสุมลูกแล้วลูกเล่าที่กำลังกระหน่ำบริษัทแม่อยู่ในเวลานี้ ยังไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเพียงใดในการแก้ไขสถานการณ์ แม้ว่ายังไม่เกิดผลกระทบขึ้นกับตลาดของไทยในช่วงสั้นๆ ก็ตาม แต่หากยาวนานออกไปผลกระทบย่อมเกิดขึ้นแน่

กระนั้นก็ตามวิทยาก็ยังกล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า แอปเปิลเป็นแค่ไข้หวัดเท่านั้นไม่ใช่นิวมอเนียดังที่วิตกกันไป "ผู้จัดการ" ก็หวังจะเป็นแค่เช่นนั้น เพราะนานๆ ไป ไข้หวัดก็ลามไปเป็นนิวมอเนียได้เหมือนกัน !



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.