เต็มพร ภูมิรัตน์ ไม่มี "จาติกวณิช" พ่วงท้ายก็ดังได้


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2538)



กลับสู่หน้าหลัก

ปลายเดือนพฤษภาคม 2538 ข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ สร้างความตื่นตะลึง ให้กับ ผู้คนที่รู้จัก "เต็มพร ภูมิรัตน" สาวไฮโซที่เคยรู้จักกันดีในชื่อ "ตวงพร จาติกวณิช" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซุปเปอร์เค ครีเอชั่น จำกัด เมื่อเธอถูกแฟรงค์ จิวเวลรี่ บริษัทจำหน่ายเครื่องเพชรชื่อดัง แจ้งตำรวจจับฐานไม่ยอมชำระเงินค่าเครื่องเพชรที่เธอซื้อไปมูลค่า 19 ล้านบาทด้วยเช็คติดสปริง ข่าวนี้ช่างตรงกับคำทำนายด้วยคอมพิวเตอร์ของ "ท่านกบ" ม.จ. ฐิติพันธ์ ยุคล ที่ทำนายไว้เมื่อ 2-3 ปีก่อนที่ว่า เธอจะเป็นข่าวโด่งดังในปี 2538 แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่าข่าวดังที่ว่าจะกลายเป็นข่าวอื้อฉาวที่คนเกือบทั้งประเทศมีโอกาสรับรู้ ก่อนจะมาเป็นสาวสังคมมีชื่อเสียงโด่งดัง เต็มพรเคยให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าสู่วงการสื่อสารมวลชนของเธอไว้ว่า ภายหลังจากที่สำเร็จการศึกษาด้านบริหารธุรกิจ จากนอร์ทอเมริกัน ยูนิเวอร์ซิตี้ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ปี 2533 เธอเริ่มต้นการเป็นผู้แปลข่าวต่างประเทศ ที่อี. เอ็ม. นิวส์ บริษัทในเครือแปซิฟิก อินเตอร์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่มี ดร. สมเกียรติ อ่อนวิมล เป็นหัวเรือใหญ่ ซึ่งขณะนั้นทำหน้าที่ผลิตข่าวป้อนให้กับสถานีโทรทัศน์ กองทัพบกช่อง 5 นอกจากการแปลข่าวแล้ว ที่นี่ยังให้โอกาสเธอทำข่าวด้วย แต่ทำอยู่ได้ไม่นานเธอก็ลาออกไปทำหน้าที่ของแม่และแม่บ้านให้กับ "วิชญา จาติกวณิช" บุตรชายคนเล็กของเกษม-คุณหญิงชัชนี จาติกวณิช ปี 2535 ตวงพรกลับเข้าสู่วงการสื่อสารมวลชนอีกครั้ง คราวนี้เริ่มต้นด้วยการช่วยลงเสียง ให้กับรายการ "สัตว์เลี้ยงแสนรัก" ซึ่งนำเสนอทางช่อง 5 ก่อนที่จะนำไปสู่การจัดตั้งบริษัทผลิตรายการ ในชื่อ ซุปเปอร์เค ครีเอชั่น จำกัด โดยได้รับความสนับสนุนเงินทุนจากครอบครัว "จาติกวณิช" ของสามี รายการแรกที่ซุปเปอร์เค ครีเอชั่นทำการผลิตแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของเวลาคือ รายการ "สัตว์เลี้ยงแสนรัก" ก่อนที่จะต้องคืนให้ช่อง 5 ไปเมื่อต้นปี 2537 เพราะเจ้าของเวลาอำลาวงการไป กลางปี 2535 ซุปเปอร์เคมีโอกาสได้เป็นเจ้าของเวลาเอง เมื่อได้เวลาจากช่อง 5 นำมาทำรายการ "ที่สุดในโลก" ซึ่งรูปแบบรายการเป็นการนำเสนอถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นที่สุดในโลก ปลายปี 2535 ซุปเปอร์เคก็ได้เวลาจากช่อง 3 มาทำรายการ "ชั่วโมงคนหนุ่ม" อีกรายการหนึ่งคราวนี้ว่ากันว่าได้เพราะบารมีของเกษม จาติกวณิช การเป็นผู้บริหารของซุปเปอร์เคนี่เองที่ทำให้เต็มพรมีภาพของผู้หญิงทำงานแถวหน้าที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ดีคงปฏิเสธไม่ได้ว่าครอบครัว "จาติกวณิช" เป็นผู้สร้างชื่อเสียงและความมั่นคงทางชีวิตให้กับเธอ เพราะถ้าไม่ได้รับความสนับสนุนจากครอบครัวนี้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เงินทุนในการก่อตั้งบริษัท เงินหมุนเวียน ที่ใช้ในการดำเนินงาน หรือแม้แต่อาคารหลังสวน บัลโคนี่ซึ่งใช้เป็นออฟฟิศ ก็เป็นของวสันต์ จาติกวณิช พี่ชายของสามี เส้นทางของเธออาจจะไม่ได้โรยไปด้วยดอกกุหลาบอย่างที่เป็นมาในอดีต นี่ยังไม่นับรวมถึงบารมีของเกษม จาติกวณิช ที่เป็นกุญแจสำคัญให้ซุปเปอร์เค ครีเอชั่น มีโอกาสผลิตรายการ "ชั่วโมงคนหนุ่ม" ต่อไป แม้ว่าช่อง 3 อยากจะถอดออกจากผังตั้งแต่ช่วง 6 เดือนแรกแล้ว เพราะเรตติ้งไม่ค่อยน่าพอใจนัก แต่ไม่ทำเพราะเกรงใจเกษม จาติกวณิช รายการ 3 รายการที่ซุปเปอร์เค เป็นผู้ผลิตในตอนนั้น มีเพียงรายการ "สัตว์เลี้ยงแสนรัก" รายการเดียวเท่านั้น ที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ เพระมีผู้สนับสนุนรายการสำคัญ คือ บริษัท ไทย ออยล์ (ซึ่งเกษม จาติกวณิช เป็นกรรมการผู้อำนวยการ) เป็นผู้สนับสนุนรายการหลัก นอกเหนือจากสปอนเซอร์รายย่อย ส่วนรายการชั่วโมงคนหนุ่มนั้นขาดทุนเดือนละ 1-2 แสนบาท มาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นทั้ง ๆ ที่ช่วงนั้นรายการจะมีโฆษณาเข้ามาสนับสนุนพอสมควร ส่วนช่วงหลัง ๆ ที่โฆษณาหายากมากขึ้น ซุปเปอร์เคก็ต้องรับภาระการขาดทุนเดือนละหลายแสน แต่เต็มพรซึ่งสวมบทคนขี่เสืออย่างเหนียวแน่น ไม่ยอมลงจากหลังเสือเด็ดขาด สำหรับรายการ "ที่สุดในโลก" นั้น แม้ว่าสถานการณ์จะไม่หนักเท่าชั่วโมงคนหนุ่ม เพราะมีธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้สนับสนุนหลักเดือนละ 800,000 บาท แต่ก็นับว่าอยู่ในสภาพ กระท่อนกระแท่นเต็มที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา ซึ่งกสิกรไทยยุติการให้ความสนับสนุน ด้านโครงการ "ไมโครบัส ทีวี" ซึ่งซุปเปอร์เค ได้รับสัมปทานให้เป็นผู้ผลิตรายการในรูปวีดีโอเทป เพื่อเปิดให้ผู้โดยสารรถไมโครบัสชม ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2537 นั้น ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน ผู้บริหารที่รับผิดชอบรายการของไมโครบัสกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า ในแง่ของคุณภาพรายการที่เป็นการนำรายการเก่ามายำใหม่ นอกจากจะไม่เป็นที่พอใจของผู้บริหารไมโครบัส แล้วจากการสอบถามจากผู้โดยสารซึ่งเป็นผู้ชมส่วนใหญ่ ก็ไม่พอใจเช่นกัน นอกจากนี้การหมุนเวียนของเทปยังมีน้อยมากทำให้ผู้ชมเบื่อ ที่หนักไปกว่านั้นก็คือปริมาณของผู้สนับสนุนรายการที่ไม่สามารถทำได้บรรลุเป้า มีโฆษณาเข้าเพียง 30% เท่านั้น สปอตส่วนใหญ่จะเป็นสปอตประชาสัมพันธ์ให้กับกรมตำรวจ กรมป่าไม้มากกว่า สปอตที่ได้เงิน "ช่วงนี้เรายังไม่ได้ทำอะไร เพราะกำลังรอผลจากแบบสอบถามที่ทำในช่วงเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมาจำนวน 3,000 ชุด ว่ามีผลอย่างไร เพื่อที่จะนำมาเป็นแนวทางแก้ไขต่อไป" ผู้บริหารไมโครบัส กล่าว จะเห็นได้ว่าชื่อเสียงความเป็นผู้หญิงทำงานที่ประสบความสำเร็จของเต็มพร ขัดแย้งกับผลประกอบการและผลงานของซุปเปอร์เคมาก ผู้ใกล้ชิดหลาย ๆ คนที่เคยทำงานกับเต็มพรกล่าวยอมรับว่า เธอเป็นคนที่มีความสามารถ โดยเฉพาะการใช้วาทศิลป์นับเป็นศาสตร์สำคัญ ที่เธอเชี่ยวชาญและใช้ประโยชน์ในการเป็นพิธีกรดำเนินรายการ และการเจรจาทางธุรกิจอย่างมาก แต่คนใกล้ชิดกล่าวถึงอีกด้านหนึ่งของเธอว่า เธอค่อนข้างจะสบาย ๆ กับการทำงานพอ สมควร เธอเป็นเจ้าของธุรกิจที่เข้าที่ทำงานเดือนละเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ประกอบกับเธอค่อนข้างมีรสนิยมวิไล นิยมแบรนด์เนมยี่ห้อหรู ทำให้อาจจะมีเรื่องการเงินมากวนอกกวนใจ กรณีเพชร 19 ล้านบาทก็น่าจะเป็นตัวอย่างได้ดีไม่น้อย นี่ยังไม่นับรวมถึงการเบี้ยวค่าตัวพิธีกร รายการที่สุดในโลกของนางสาวพรนภา เทพทินกร หรือ "สุ่ย" ที่เจ้าตัวเปิดเผยกับ "ชีวิตรายวัน" ว่า บริษัท ซุปเปอร์เคไม่จ่ายเงินค่าจ้างการเป็นพิธีกรของเธอถึง 8 ครั้ง รวมเป็นเงินเกือบ 8 หมื่นบาท โดยการจ่ายเช็คของธนาคารกรุงเทพฯ แต่ไม่สามารถขึ้นเงินได้ นางสาวพรนภายังอ้างว่า นายณัฐพล กรรณสูตร และคาร่า พลสิทธิ์ ซึ่งเป็นพิธีกรในรายการชั่วโมงคนหนุ่มก็ถูกเบี้ยวค่าแรงเช่นกัน อย่างไรก็ดีเต็มพร ภูมิรัตนก็ยังวางแผนที่จะขยายธุรกิจของซุปเปอร์เค ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลจาติกวณิช เพราะการหย่าร้างกับสามีเมื่อปี 2537 ที่ผ่านมา เธอวางแผนที่จะแตกบริษัทย่อยในชื่อ "อินฟินิท โพรฟิท เน็ทเวอร์ค" ออกมาทำหน้าที่เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาด ประชาสัมพันธ์และเปิดตัวสินค้าให้ลูกค้าทั่วไป นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะตั้งบริษัท เดอะวันแอนด์โอนลี่ จำกัด ขึ้นมาทำธุรกิจจัดส่งของขวัญและดอกไม้ รวมทั้งแผนการผลิตรายการป้อนให้กับยูทีวี เคเบิลทีวีในเครือเทเลคอมเอเซีย (ทีเอ) อีกด้วย โครงการเหล่านี้ยังไม่สำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง แต่การกู้ชื่อเสียงกลับมาอีกครั้ง หลังจากคดีเช็ค 19 ล้าน และไม่มีนามสกุล "จาติกวณิช" พ่วงท้าย น่าจะเป็นบทพิสูจน์ฝีมือของเธอได้เป็นอย่างดี ถ้าเธอทำสำเร็จ ส่วนคดีเช็ค 19 ล้านนั้น ถาม "ชัยยศ เอี่ยมอมรพันธ์" แห่งแฟรงค์ จิวเวลรี่ว่าลงเอยประนีประนอมกันอย่างไรเป็นได้เรื่องดีที่สุด !

กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.