|
ถนนสาย 30A มุ่งสู่ดินแดนมหัศจรรย์แห่ง Panhandle
โดย
มานิตา เข็มทอง
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( มิถุนายน 2555)
กลับสู่หน้าหลัก
ขับรถเลียบชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกให้ใช้เส้นทางหลวง 30A ชื่นชมประติมากรรมทางธรรมชาติริมฝั่งทะเล ณ ดินแดนด้ามกระทะ (Panhandle) แห่งมลรัฐฟลอริดา ที่ครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฟลอริดายาวประมาณ 320 กิโลเมตร และกว้างประมาณ 80-160 กิโลเมตร ส่วนเหนือติดกับรัฐแอละบามา ส่วนตะวันออกติดกับรัฐจอร์เจีย และส่วนใต้ติดอ่าวเม็กซิโก
ในปัจจุบันหากได้ยินใครกล่าวถึงดินแดนทางตะวันตกหรือตะวันตกเฉียงเหนือของฟลอริดา ขอให้เข้าใจว่าหมายถึงส่วนด้ามกระทะนี้เช่นกัน ซึ่งในประวัติศาสตร์ดินแดนส่วนนี้ที่อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ Apalachicola รวมถึงพื้นที่บางส่วนของรัฐแอละบามา รัฐมิสซิสซิปปี และรัฐหลุยเซียนา ล้วนเคยตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษนานถึง 20 ปีในช่วงปี 1763-1783 และอยู่อาณานิคมของสเปนในช่วงปี 1783-1821 ยาวนานถึง 38 ปี
ทางหลวงหมายเลข 30A เป็นทางหลวงเลียบชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกช่วงด้ามกระทะเป็นระยะทางยาวทั้งสิ้น 46 กิโลเมตร อยู่ในเขตวอลตัน เป็นเส้นทางที่มีทัศนียภาพสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวปีละหลายล้านคนที่มาเยือนดินแดนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นหาดทรายขาวสะอาด น้ำทะเลใสเขียวมรกต ตัดกับท้องฟ้าสีคราม ความสวยงามติดอันดับโลก ป่าเนินทราย (Dune Forest) โดยเฉพาะทะเลสาบเนินทรายริมฝั่งทะเล (Coastal Dune Lake) ที่หายากมีเพียงไม่กี่แห่งในโลก นอกจากนั้นยังมีอุทยานแห่งรัฐหลายแห่งให้แวะเข้าไปเรียนรู้สภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แห่งนี้ รวมไปถึงชุมชนหมู่บ้านที่มีการวาง แผนเป็นผังเมืองใหม่ริมชายฝั่งทะเลอย่างน่าสนใจ
เริ่มจากอุทยานแห่งรัฐเกรย์ตันบีชเป็นอุทยาน ที่ขึ้นชื่อว่ามีชายหาดที่สวยที่สุดในอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกา มีพื้นที่ประมาณ 2,000 เอเคอร์ หรือประมาณกว่า 5,000 ไร่ ผู้มาเยือนสามารถเข้าสัมผัสใกล้ชิดกับระบบนิเวศวิทยาของที่ลุ่มน้ำเค็ม สภาพป่าชายฝั่งที่ต้นไม้มีรูปร่างบิดเบี้ยวตามแรงลมราวกับไม้ดัดที่ยังคงความสมบูรณ์ไว้มากที่สุด เนื่อง จากการร่วมมือกันของทุกฝ่ายในการอนุรักษ์ระบบนิเวศวิทยาอันแสนพิเศษนี้ให้อยู่บนโลกใบนี้ต่อไปยาวนาน
ป่าเนินทรายริมชายหาดหรือ Dune Forest เป็นความงามที่ธรรมชาติใช้เวลานานนับพันปีในการ สรรค์สร้างจากเม็ดทรายจำนวนมหาศาลที่สะสมทับถมกันมายาวนาน จากแรงลม แรงน้ำทะเลที่พัด พามาปกคลุมพืชไม้ต่างพันธุ์ที่เติบโตอยู่ตามชายฝั่ง กิ่งก้านที่โผล่พ้นทรายมาแม้จะดูแห้งไร้ใบเหมือนซากต้นไม้ตาย เนื่องจากต้องตระหง่านท้าแรงลม แรงแดด ไอน้ำเค็มจากผืนทะเล และเม็ดทรายที่ถูกคลื่นลมคลื่นทะเลซัดพามาเสียดสีอยู่วันแล้ววันเล่า หากว่าเบื้องใต้ซากอันดูไร้ชีวิตกลับมีชีวิตที่สมบูรณ์ที่ถูกพิทักษ์อยู่อย่างน่าอัศจรรย์รอวันที่คลื่นลมสงบออกดอกผลิใบแต่งเติมความงามให้โลกใบนี้ต่อไป
จากลักษณะภูมิประเทศที่พิเศษของบริเวณด้ามกระทะนี้ส่งผลให้เกิดทะเลสาบเนินทราย หรือ Dune Lake ซึ่งนับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่หายากในโลก เนื่องจากมีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีลักษณะภูมิประเทศที่เอื้อให้เกิดขึ้นได้ สำหรับสหรัฐ อเมริกานอกจากในเขตด้ามกระทะของฟลอริดาแล้ว ยังสามารถพบได้ที่บริเวณชายฝั่งของรัฐโอเรกอนและรัฐเซาท์แคโรไลนา ส่วนประเทศอื่นๆ มีที่บริเวณ ชายฝั่งของประเทศนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และมาดากัสการ์
ดร.โทนี่ สตาลลินส์ รองศาสตราจารย์ด้านภูมิชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี้อธิบายถึงการก่อกำเนิดของทะเลสาบเนินทรายว่า จะต้องเป็น ลักษณะภูมิประเทศที่เหมาะสม โดยจะเกิดห่างจากชายฝั่งทะเลไปประมาณ 2 ไมล์ หรือประมาณ 3 กิโลเมตร ส่วนใหญ่มีรูปร่างบิดเบี้ยวต่างกันไป น้ำในทะเลสาบประกอบด้วยทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มที่ซึมมาจากใต้ดิน จากน้ำฝนและน้ำทะเลที่ถูกซัดเข้ามาในฤดูกาลพายุเฮอร์ริเคน โดยน้ำจืดจะอยู่ด้านบนของน้ำเค็มเนื่องจากความหนาแน่นของน้ำ สีของน้ำ ในทะเลสาบเนินทรายส่วนใหญ่จะมีสีเข้มเหมือนสีชา หรือสีดำ ซึ่งเกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์ที่อยู่ในนั้น นอกจากนี้ยังมีเม็ดทรายจำนวนมากที่ถูกซัดเข้าออกในทะเลสาบเนินทรายในช่วงพายุนั้น ทำให้ทะเลสาบเนินทรายเป็นทะเลสาบน้ำตื้นไม่ใช่น้ำลึก ทั้งนี้ในอดีตหลายศตวรรษก่อนเม็ดทรายที่อยู่ก้นทะเลสาบเคยถูกใช้บันทึกเป็นข้อมูลสำหรับศึกษาพายุเฮอร์ริเคนที่กระหน่ำในพื้นที่นั้นด้วย
นอกจากความงามที่ธรรมชาติสร้างไว้แล้ว ยังมีความงามที่มนุษย์สร้างไว้อีกด้วย ได้แก่ชุมชนที่อยู่สองฝั่งของทางหลวงหมายเลข 30A นอกจากชุมชนเดิมเก่าแก่ที่ยังพอหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง ยังมีชุมชนใหม่ที่มีการวางผังจัดการเมืองด้วยวิธีการ ใหม่และสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจากแนวที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีแนวคิดหลักคือ ย้อนกลับไปสู่การใช้ชีวิตแบบในอดีตสมัยปู่ย่าตายายที่ทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ใกล้เพียงแค่สองขาเดิน ด้วยสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยและร่วมสมัย โดยชุมชนใหม่นี้อยู่ทางตอนใต้ของเขตวอลตัน เริ่มจากชุมชน Seaside ที่โด่งดัง เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Truman Show ที่มีจิม แคร์รี่ เป็นตัวแสดงเอก
ชุมชน Seaside เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี 1979 ที่ออกแบบโดย Andres Duany และ Elizabeth Plater-Zyberk สองสถาปนิกสามีภรรยาชาวอเมริกัน ตามมาด้วยเมืองรีสอร์ต Rosemary Beach ที่เริ่มสร้างในปี 1995 และออกแบบโดยสถาปนิกกลุ่มเดียว กันกับ Seaside เป็นการผสมผสานระหว่างรีสอร์ต ริมทะเลสไตล์คาริบเบียนกับสไตล์ยุโรปได้อย่างลงตัว
นอกจากนั้นยังมีชุมชน WaterColor ที่รายล้อมด้วยป่าเนินทราย ออกแบบโดย Cooper, Robertson & Partners จากนิวยอร์ก เป็นแนวสถาปัตยกรรมแบบท้องถิ่นตอนใต้ของอเมริกา คือ เป็นบ้านไม้มีเสาใหญ่ มีระเบียงมุ้งลวด และหลังคาเหล็ก และชุมชนน้องใหม่ล่าสุด คือชุมชน Alys Beach ที่เพิ่งเริ่มโครงการเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นโครงการขนาดใหญ่สไตล์เบอร์มิวดา จะมีทั้งหมด 900 หลังคาเรือนบนพื้นที่ 158 เอเคอร์ หรือประมาณ 390 ไร่
บ้านส่วนใหญ่ใน Rosemary Beach และ Alys Beach เป็นบ้านหลังใหญ่พร้อมเรือนหลังเล็ก ซึ่งเจ้าของบ้านจะปล่อยให้นักท่องเที่ยวเช่าเป็นรายได้หลักของชุมชนริมหาดเหล่านี้
ทัศนียภาพสองฝั่งข้างทางหลวงหมายเลข 30A ณ ด้ามกระทะแห่งรัฐฟลอริดา ผสมผสานระหว่างประติมากรรมที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นกับประติมากรรมที่มนุษย์สร้างสรรค์ไว้ได้อย่างลงตัว สิ่งเหล่านี้จะสามารถยั่งยืนอยู่ต่อไป ตราบที่มนุษย์ยัง คงไว้ด้วยจิตสำนึกในการพิทักษ์ธรรมชาติที่เป็นเจ้าของผืนดินผืนน้ำแห่งนี้มาเป็นเวลาช้านาน
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|