ปูนซิเมนต์ไทย ดึงปิโตรเวียดนามและวีนาเคม ลงนามข้อตกลงการร่วมลงทุนโรงงานปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์แห่งแรก ในเวียดนาม มูลค่าประมาณ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดดำเนินการได้ใน 4 ปี หวังเกิดประโยชน์ร่วมกันกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สำคัญและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามได้อย่างดี
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า เอสซีจี กาตาร์ปิโตรเลียมอินเตอร์แนชั่นแนล (Qatar Petroleum International - QPI) ปิโตรเวียดนาม (PetroVietnam - PVN) และวีนาเคม (Vinachem) ร่วมลงนามในข้อตกลงการร่วมลงทุนโรงงานปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์แห่งแรกในเวียดนาม มูลค่าประมาณ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับเป็นธุรกิจปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกของประเทศเวียดนาม ซึ่งข้อตกลงร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือครั้งสำคัญที่จะช่วยผลักดันธุรกิจไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน โรงงานปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์นี้ มีมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 140,000 ล้านบาท นับเป็นโรงงานปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกของประเทศเวียดนาม ซึ่งจะช่วยประเทศเวียดนามทดแทนการนำเข้า และสร้างมูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศ รวมทั้งส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของเวียดนาม เพื่อมุ่งสู่การเติบโตในอาเซียนต่อไป
ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการปิโตรเคมีจำเป็นต้องมีการจัดหาวัตถุดิบไว้ในระยะยาว เพื่อความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่เราได้พันธมิตรด้านพลังงานและปิโตรเคมีรายใหญ่จากตะวันออกกลาง คือ QPI มาร่วมดำเนินธุรกิจ โดย Qatar International Petroleum Marketing (TASWEEQ) ซึ่งเป็นบริษัทด้านการตลาดของกาตาร์ จะเป็นผู้ จัดหาวัตถุดิบโพรเพนและแนฟทาที่ใช้ในกระบวนการผลิตในอนาคต ขณะที่ PV Gas บริษัทลูกของ ปิโตรเวียดนามจะเป็นผู้จัดหาก๊าซอีเทน การบรรลุข้อตกลงในครั้งนี้ จะช่วยเสริมความมั่นใจและเพิ่มศักยภาพการลงทุนธุรกิจปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ภายใต้ข้อตกลงการร่วมทุนดังกล่าว SCC จะถือหุ้น 28 % และไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ 18% ที่เหลือเป็นการถือหุ้นของ QPI ปิโตรเวียดนาม และวีนาเคม โดยหลังจากการลงนามข้อตกลงการร่วมทุน และการสรุปข้อตกลงด้านการเงินแล้ว คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในอีกราว 4 ปี
โดยโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์นี้ มีกำลังผลิตโอเลฟินส์ 1.4 ล้านตันต่อปี ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงและทันสมัย โดยเป็นโรงงานที่มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนวัตถุดิบระหว่างก๊าซอีเทน โพรเพน แนฟทา และมีสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ท่าเรือ คลังสินค้า และโรงไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ Downstream ที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึง โพลิเอททิลีน (PE) โพลิโพรไพลีน (PP) และไวนิลคลอไรด์ โมโนเมอร์ ( VCM ) ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เหล่านี้จะป้อนตลาดในประเทศเวียดนาม เพื่อรองรับความต้องการของประชากรประมาณ 90 ล้านคนในเวียดนาม
" โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ของเรา จะนำเทคโนโลยีชั้นสูงและทันสมัย ที่มีมาตรฐาน ด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมในระดับสากล มาใช้ในกระบวนการผลิต โดยผลิตภัณฑ์ ที่ได้จะสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศเวียดนามและในภูมิภาคอาเซียน " นายกานต์กล่าวเพิ่ม
สำหรับโรงงานปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์นี้ จะตั้งอยู่ที่เกาะ Long Son ในจังหวัด Ba Ria - Vung Tau ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม โดยจะอยู่ติดกับโครงการโรงกลั่นน้ำมันในอนาคตแห่งที่ 3 ของประเทศเวียดนาม และอยู่ใกล้กับตลาดเวียดนามทางตอนใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญห่างจากโฮจิมินห์ซิตี้ประมาณ 100 กิโลเมตร นอกจากนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สำคัญของเวียดนามหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์สินค้า ท่อพีวีซี กรอบโครงสร้างสำหรับงานวัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และยานยนต์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามได้เป็นอย่างดี