ตลาดยาถือเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะ 1 ใน 4 ปัจจัยสำคัญของมนุษย์ “เมอร์ค ประเทศไทย” ผู้ผลิตยาชี้ให้เห็นทิศทางธุรกิจยาปี 2555 ที่น่าจะเติบโตได้ถึง 3% หลังจากหลายปีก่อนเคยเติบโตได้ 9-10% มั่นใจหลังประเทศไทยเข้า AEC ยาจะเข้าตลาดได้ไทยได้ง่ายขึ้น 

อมัมน์ บัทตาจาร์จี กรรมการผู้จัดการของเมอร์ค ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทดำเนินธุรกิจด้านเวชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ โดยมีโรงงานอยู่ในไทย 2 แห่ง ซึ่งผลิตสินค้าได้ 70% ส่วนอีก 30% เป็นการนำเข้าสินค้าเยอรมัน ทั้งนี้ ยาของบริษัทจะเป็นยาประเภทรักษาเบาหวาน หัวใจ มะเร็ง ยาช่วยในการรักษาการเจริญพันธุ์ การมีบุตรยาก

“ตลาดนี้มีคู่แข่งอยู่ 3-4 ราย แต่บริษัทมีจุดแข็ง คือ มีการให้การสนับสนุนการทำวิจัยที่แข็งแกร่ง เรายังให้การสนับสนุนรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ที่ทำวิจัยวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ประเทศไทยให้งบสำหรับทำวิจัยน้อยมากแค่ 0.2% ของ GDP ขณะที่สิงคโปร์มี 2% มาเลเซีย 1% เวียดนามรัฐบาลเขาก็ให้การสนับสนุนเรื่องนี้มาก ถือว่าไทยต่ำสุดในเอเชีย”

ด้านการเติบโตของธุรกิจยาในประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อนตลาดมีการเติบโต 9-10% ขณะที่ปี 2554 ตลาดมีมูลค่า 4.4 พันล้านเหรีญสหรัฐ หรือมีการเติบโต 1.8% จากปี 2553 เหตุที่ลดลง เนื่องจากรัฐบาลเน้นเรื่องราคายา และกว่าที่ยาจะออกสู่ตลาดได้ต้องใช้เวลายาวนานกว่าประเทศอื่นๆ คือใช้เวลาในการทดลอง 3 ปี ทดลองในแล็บ สัตว์ และมนุษย์ คาดว่าปี 2555 ตลาดยาจะเติบโต 3%

อย่างไรก็ดี คาดหากเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ AEC แล้ว อาจจะทำให้การวิจัยยาสำหรับคนไทยลดลงเหลือ 6 เดือน เนื่องจากใช้กฎข้อบังคับเดียวกัน นอกจากนี้ AEC ยังช่วยเปิดโอกาสในการนำยาเข้าไปถึงประเทศที่วิทยาการแพทย์ยังไปไม่ถึง อย่าง พม่า กัมพูชา ฯลฯ

โดยตลาดยาจะแบ่งเป็นกลุ่มยาสามัญ 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ กลุ่มยา Consumer Healthcare หรือซื้อตามเคาน์เตอร์ 0.79 พันล้านเหรียญสหรัฐ และกลุ่มยาที่มีสูติบัตร 0.94 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนเมอร์คปี 2554 มีการเติบโต 6.6% คาดว่าปี 2555 เมอร์คจะเติบโต 6-7%

สำหรับการควบรวมของบริษัทยาในปีนี้น่าจะมียังมีให้เห็น เนื่องจากการควบรวมเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกอยู่แล้ว และการควบรวมมีเป้าหมายเพื่อได้สิทธิบัตรยาจากบริษัทที่ควบรวม