สถานการณ์สินค้าอุปโภค-บริโภคต้องปรับตัวเองมาก ๆ


นิตยสารผู้จัดการ( ธันวาคม 2528)



กลับสู่หน้าหลัก

สินค้าอุปโภค-บริโภคคือสินค้าที่เราใช้อยู่ประจำวัน ข้อมูลที่นำมาอ้างอิงในการอภิปรายได้มาจาก 4 แห่ง คือบริษัทดีมาร์แห่งประเทศไทย, สถาบัน บี ไอ ซี อาร์, จากกระทรวงต่าง ๆ และข้อมูลจากการพบปะสังสรรค์ระหว่างนักการตลาด

การวัดภาวะสินค้าอุปโภค-บริโภค สามารถวัดได้จาก Total Market ของตลาดสินค้าอุปโภค-บริโภค ซึ่งปรากฏว่าในปี 2528 ไม่หดตัวลงกลับมีการขยายตัวมากในบางตลาดและขยายตัวน้อยในบางตลาด ซึ่งขึ้นอยู่กับขั้นตอนการพัฒนาของสินค้านั้น ตลาดเท่าที่สังเกตจะขยายตัวประมาณ 3-5% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่สูงเกินกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ต้องประหยัด

การขยายตัวของตลาดขึ้นอยู่กับองค์ประกอบคือ รายได้ การแข่งขันความสร้างสรรค์ ในการขยายตัวของตลาด

รายได้ของคนที่หายไปเพราะนักวิชาการบอกว่าคนไทยขายข้าวไม่ได้ราคา แต่ในภาคปฎิบัตินั้นอาจจะไม่จริงเพราะในขณะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ในระดับ 4% นั้น ถือว่าสูงแล้วจนสามารถเลี้ยงอุตสาหกรรมอุปโภค-บริโภคได้ดีพอประมาณ โดยมีการทดสอบแบ่งเขตเป็นกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยต่างจังหวัดแบ่งเป็นเขตเทศบาลและเขตชนบท ปรากฏว่าการใช้จ่ายของประชากรในเขตชนบทนั้นมีการขยายตัวสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้และการขยายตัวนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2523 ถึงปัจจุบัน อาจเป็นได้ว่าผลผลิตการเกษตรของเรามีปัญหา แต่นักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้คิดถึงว่าเกษตรกรอาจมีการเพิ่มผลผลิตโดยที่เราไม่ทราบ เช่น เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ หรือตะวันออกกลางแล้วนำเงินกลับมา ดังนั้นตามทฤษฎีแล้วคนชนบทจนไม่มีเงินซื้อของ แต่ในเมื่อเขามีเงินซื้อของได้นั้นเขาอาจจะไม่จนอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้

เรื่องการแข่งขันในปี 2528 นั้นมีมากพอประมาณ เช่น มีการเตือนความจำเรื่องสินค้าอยู่เสมอ รายการพิเศษกระตุ้นคนใช้เพิ่มขึ้น การแจกฟรีสำหรับสินค้าประเภทใหม่ บางประเภทมีการตัดราคากันมากเพื่อให้ร้านค้าสต๊อกของมากขึ้น การแข่งขันเหล่านี้ทำเพื่อพยายามขยายตลาด

กิจกรรมการตลาดนั้นมุ่งที่จะขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้นมากกว่าจะนำของเข้าร้านค้า เพราะการนำของเข้าร้านค้าคือการย้ายสินค้าที่ผลิตแล้วเข้าไปยังร้านค้า ถ้าสินค้านั้นขายไม่ออกเปรียบเสมือนนำทรัพย์สินไปตกค้างในร้านค้า จะสังเกตว่ามีการสร้างภาพลักษณ์ของสินค้ามากกว่าที่จะไปหลอกผู้บริโภคโดยการตัดคุณภาพแต่ขายในราคาคงที่ จะมีการยืนหยัดคุณภาพของสินค้าเก่าแทนที่จะนำสินค้าไม่ดีมาขายเป็นการรักษาภาพลักษณ์

ผู้ประกอบการด้านสินค้าอุปโภค-บริโภคต่างช่วยกันแทนที่จะรอความช่วยเหลือจากรัฐบาล การแข่งขันในตลาดสินค้าอุปโภค-บริโภคมีสูงมากและต้องใช้เงินจำนวนมาก เงินเหล่านี้มาจาก

1. ความสามารถในการขยายปริมาณการผลิต ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยของสินค้าลดลง

2. วัตถุดิบถูกลง เพราะเป็นส่วนหนึ่งของความสมดุลของการพัฒนาระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น ราคาน้ำมันมะพร้าวของชาวสวนมะพร้าวถูกลงเมื่อนำมาผลิตน้ำมันพืช จึงทำให้ราคาน้ำมันพืชถูกลงด้วย

3. การยอมสละกำไรเพื่อทรงไว้ในเรื่องปริมาณ คือเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี การต้องการกำไรคงที่เป็นเรื่องที่ทำลำบากมาก

4. เพิ่มสมรรถภาพในการทำงาน โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้

ในสถานการณ์ทางการเงินของสินค้าประเภทนี้ไม่ค่อยดี เพราะมีเช็คเด้งมาก และตลาดนี้เป็นตลาดที่นายธนาคารไม่สนใจจึงไม่ค่อยปล่อยสินเชื่อให้พ่อค้าปลีก

ดังนั้นผู้ผลิตสินค้าประเภทนี้จึงต้องทำตัวเป็นธนาคารให้กับพ่อค้าปลีกโดยการปล่อยเครดิตจากเดิม 30 วันเป็น 60-90 วันในปัจจุบัน

ในเรื่องการขาดดุลการค้ามีผลกระทบต่อตลาดในส่วนนี้คือการสั่งห้ามนำเข้าของจากต่างประเทศซึ่งกระทบต่อตลาดอย่างมาก และนโยบายประกันราคาข้าว ถ้าถึงมือชาวนาจริง ๆ จะทำให้การขายดีขึ้น

ค่าโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ ขึ้นราคาสูงมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อโทรทัศน์ จนทำให้ผู้ผลิตเริ่มคิดว่าถ้าต้นทุนด้านสื่อสูงเพิ่มขึ้นทุกปี จะต้องหาทางออกอย่างอื่นที่ไม่ต้องใช้สื่อโทรทัศน์

การแข่งขันอุตสาหกรรมจะน้อยลงในปีหน้าเพราะในปีนี้บางแห่งได้กำไร ในขณะที่บางแห่งขาดทุน แต่ละแห่งคงจะต้องแข่งกันพอประมาณ

ในตลาดสินค้าอุปโภค-บริโภค ถ้ามีการขยายตัวในระดับอัตราปีละ 4% นับว่าธุรกิจนี้สามารถอยู่ได้ แต่จะต้องอาศัยผลผลิตประมาณ 3-4%

สภาวะที่ตลาดขยายตัวไม่แน่นอนนั้น ควรจะต้องบริหารกิจการด้วยความระมัดระวังอย่างมากถ้าใครต้องการผลิตสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด สายป่านในธุรกิจต้องยาวและต้องเตรียมสภาพจิตเพื่อการต่อสู้ให้ดี มิฉะนั้นการออกยี่ห้อใหม่ในสภาพเช่นนี้อาจจะไม่เข้าเป้าอย่างที่ตั้งไว้

สิ่งที่ขอให้รัฐบาลช่วยคือ ระงับเรื่องการที่จะโอนการจัดเก็บภาษีการค้าสำหรับสินค้าอุปโภค-บริโภคบางชนิดจากกรมสรรพากรไปให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บแทน โดยขอให้เลื่อนไปสัก 2-3 ปี

และในแต่ละบริษัทควรปรับปรุงโครงสร้างใหม่คือ นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะในการแข่งขันนั้น บริษัทใดมีต้นทุนถูกที่สุดจึงจะสามารถอยู่ได้ อีกประการคือการสร้างสินค้าตัวใหม่ๆเป็นสิ่งจำเป็นมากในธุรกิจนี้ และประการสุดท้ายต้องนึกถึงคุณภาพของการจัดการและคุณภาพของการบริหารธุรกิจ



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.