“ตราบใดผมยังไม่ตาย ผมยังคุมแบงก์ตลอดไป..”


นิตยสารผู้จัดการ( มีนาคม 2529)



กลับสู่หน้าหลัก

บรรเจิด ชลวิจารณ์ เพิ่งทำบุญวันเกิด 72 ปีเกือบอย่างเงียบ ๆ ไปเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหมาด ๆ ณ บ้านพักบนเนื้อที่ 20 ไร่ ในซอยอัฐมิตรหลังสำนักงานสหธนาคาร สาขาบางเขน สำหรับบรรเจิดแล้วแม้ว่าวัย 72 ปีของเขาสมควรจะพักผ่อน แต่เขาก็ไม่อาจจะละมือจากงานได้ เพราะความเป็นห่วงอย่างมากประสาคนที่คลุกกับงานมาตลอดชีวิต

บรรเจิดยังดูแข็งแรง ตีกอล์ฟกับลูกชาย-ลูกเขยอย่างมีความสุขในวันสุดสัปดาห์มิเคยขาด แววตาของเขายังดูว่าเป็นคนไม่ยอมคนง่าย ๆ แต่ภายในโรคร้ายไม่เคยละเว้น ทุกปีบรรเจิดต้องเดินทางไปผ่าตัดเนื้องอกที่คอยจะยึดพื้นที่ในกระเพาะอาหารเสมอที่โรงพยาบาลลอนดอนคลินิก ประเทศอังกฤษ

แม้ว่าห้วงชีวิตที่ยาวนานของเขาจะมีผู้คนห้อมล้อมในฐานะผู้นำธุรกิจภาคเอกชนคนเดียวซึ่งเคยกำกับบททั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมไทย และสมาคมธนาคารไทย แต่ชีวิตส่วนตัวของเขาค่อนข้างเหงา คนที่รู้ใจมีไม่มากนัก

คุณหญิงสวลี คู่ชีวิตซึ่งร่วมหอลงโลงกันมา 40 ปีเต็ม ย่อมเป็นคนหนึ่งที่รู้ใจ

คุณหญิงสวลี นามสกุลเดิม จำปามณี เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2464 เป็นชาวเชียงใหม่ พบรักกับบรรเจิดที่โรงเรียนแอตเวนตีสฯ ในขณะที่สวลีเป็นครูสาว บรรเจิดเป็นครูใหญ่หนุ่ม พอเกิดสงครามโลกครอบครัวคุณหญิงต้องอพยพไปตั้งหลักที่บ้านเกิดเชียงใหม่ ต่อมาบรรเจิดก็ได้ย้ายตัวเองตามไปเป็นสมุห์บัญชีบริษัทไทยนิยมพาณิชย์ที่ลำปาง ความรักจึงเพาะได้ที่และแต่งงานกันเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2488 เป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่สองยุติลงพอดี

บรรเจิด-คุณหญิงสวลี มีบุตร-ธิดาด้วยกัน 4 คน คนแรกปิยะบุตร ชลวิจารณ์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการสหธนาคาร ณรงค์ฤทธิ์ ชลวิจารณ์ ผู้ช่วยผู้จัดการสหธนาคารสาขาติวานนท์ ศศิบุษบา สืบแสง (ภรรยารังสิน สืบแสง ผู้ช่วยผู้จัดการสหธนาคาร) อาจารย์จุฬาฯ และลาลีวรรณ กาญจนจารี (ภรรยาพรเสก กาญจนจารี แห่งซิว-เนชั่นแนล) ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อและหลักทรัพย์สหธนาคารเช่นกัน

เรียกได้ว่าครอบครัวบรรเจิด ชลวิจารณ์ ปักหลักปักฐานทั้งชีวิตไว้ที่สหธนาคารเลยทีเดียว !?

แม้แต่คฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ซอยอัฐมิตร ถนนพหลโยธิน ของเขาก็สร้างบนที่ดินอันเป็นสมบัติของสหธนาคารที่จัดสรรให้!?

นอกจากคนภายในครอบครัวแล้ว บรรเจิดยังมีคนสนิทรู้ใจอีก 2 คน

คนแรก เฉลียว รักตะประจิต อดีตเลขานุการส่วนตัว ผู้ได้รับบำเหน็จความดีที่รับใช้บรรเจิดด้วยความซื่อสัตย์มากว่า 30 ปี เป็นผู้อำนวยการสำนักกรรมการผู้จัดการอันเป็นตำแหน่งสูงสุด และเกษียณอายุเมื่อ 65 ปี ตุลาคมปีที่แล้ว ปัจจุบันยังเป็นที่ปรึกษาธนาคาร เจ้าตัวบอกว่าขอช่วยงานอีกสัก 1 ปี

“ผมหอบแฟ้มกว่า 30 บริษัทที่ท่านได้รับมอบหมายจากจอมพลสฤษดิ์นั่งหน้ารถไปกับท่าน” เฉลียวเปิดภูมิหลังในฐานะเลขาฯ ประจำตัวใกล้ชิดบรรเจิดให้ “ผู้จัดการ” ฟัง

“ตอนเช้าเจ้าหน้าที่บริษัทต่าง ๆ และสมาคมที่ท่านรับผิดชอบจะต้องมารอให้ท่านเซ็นหนังสือที่บ้านก่อนท่านจะตื่นนอนด้วยซ้ำ บ้านของท่านที่สะพานควาย” เจ้าหน้าที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยผู้เคยหอบแฟ้มไปรอบรรเจิดลงนามบ่อยเป็นพิเศษฟื้นความหลังกับ “ผู้จัดการ”

ปัจจุบันบ้านเก่าของบรรเจิดที่สี่แยกสะพานควาย ริมถนนพหลโยธินใกล้วัดไผ่ตันได้เปลี่ยนสภาพเป็นตึกแถวทำการค้าไปแล้ว “ท่านไม่ได้ขาย ท่านไม่ใช่คนที่ชอบขายสมบัติเก่ากิน ให้เขาเช่า อยู่ไม่ไหวหรอกคุณ พอความเจริญมาถึง มีตลาดขึ้น เครื่องขยายเสียงดังรบกวนเช้าเย็น ท่านจึงย้ายมาซอยอัฐมิตร ประมาณ 10 ปีแล้วเห็นจะได้” เฉลียวบอก

“ท่านรับผิดชอบกิจการบริษัทตั้งมากมายเช่นนั้น เวลาประชุมทำอย่างไร” เป็นคำถามที่ “ผู้จัดการ” ตั้งขึ้นอย่างง่าย ๆ “ไม่มีอะไรตายตัว ผมจะเป็นคนจัดตารางตามลำดับก่อนหลังให้ท่าน หากประชุมยืดออกไป อาจจะต้องข้ามรายการที่ 2 ไป แต่ส่วนใหญ่เขาจะต้องรอท่าน...ตอนนั้นท่านเป็นคนสำคัญของประเทศ หลายคนต้องรับฟัง” เฉลียวไขปัญหา

“แน่นอนถ้าคุณบรรเจิดมาประชุมด้วยมักไม่มีปัญหาโต้เถียง ท่านว่าอะไรทุกคนต้องว่าตาม เพราะความเห็นของท่านทุกคนทราบว่าผู้ใหญ่ในรัฐบาลเห็นชอบแล้ว” เจ้าหน้าที่อาวุโสสภาหอการค้าฯ เล่า และบอกต่อว่า บรรเจิดเป็นกรรมการหอการค้าเพียงปีเดียวก็ข้ามมาควบตำแหน่งประธานสภาหอการค้า “ท่านเป็นคนเดียวที่มาเร็วที่สุด”

เท่าที่สอบถามพ่อค้ารุ่นเก่า ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า บรรเจิดคือประธานสภาหอการค้าฯ ที่เขากลัวที่สุด !

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยอมรับกันว่าผลงานของบรรเจิด ชลวิจารณ์ ที่ฝากไว้ที่สภาหอการค้าฯ นั้นไม่น้อย ตั้งแต่หาเงินสร้างตึกสำนักงานของตนเองมูลค่า 3 ล้านบาท โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานเปิดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2506 นอกจากนี้บรรเจิดยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ประสาทการวิทยาลัยหอการค้าด้วย

“ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมชื่นชมผลงานของท่านที่เดินทางไปขายข้าวที่อินโดนีเซียสำเร็จ” เฉลียว เลขาฯ คู่ใจเชื่อเช่นนั้นพร้อมเปิดเผยว่าเขาคือ 1 ใน 3 คนสำคัญในการเดินทางครั้งนั้น นอกจากบรรเจิดแล้วก็มีนาม พูนวัตถุ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศขณะนั้น “เป็นการเปิดตลาดครั้งแรกที่อินโดฯ ซื้อข้าวไทยถึง 1 แสนตัน ยุคของท่านส่งข้าวออกได้มากเป็นประวัติการณ์”

บรรเจิดเองก็กล่าวได้อย่างภาคภูมิใจในคำขวัญเนื่องในโอกาส 25 ปี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยถึงผลงานครั้งนั้นว่า “ความสำเร็จจากการขยายตลาดการค้าพืชไร่ของไทย (ในช่วงที่บรรเจิดเป็นประธานสภาหอการค้าฯ - เน้นโดยผู้เขียน) ทำให้ดุลการค้าซึ่งในปี 2501 ต้องขาดดุลการค้าถึง 3,500 ล้านบาท ได้ลดลงเหลือเพียงขาดดุล 300 ล้านบาทเท่านั้นในปี 2504”

เฉลียวพูดถึงอุปนิสัยของบรรเจิดตอนหนึ่งว่า “ท่านแป็นคนโมโหร้าย แต่ไม่มีอะไรขอให้ได้โพล่งเท่านั้น คนอื่นไม่เข้าใจก็อยู่กันไม่ได้ ผมอยู่กับท่านมานานเกินกว่าจะเข้าใจท่านผิด เพียงท่านมอง ผมก็รู้ทันทีว่าท่านจะเอาอะไร ตอนหลัง ๆ เราก็ชราด้วยกัน เวลายาวนานที่ผ่านมาความรู้สึกจึงเป็นแบบเพื่อนกันมากกว่า”

นอกจากเฉลียว รักตะประจิต แล้วก็มี ศรีบุตร อุประ ผู้ติดตามมาเกือบ 30 ปี ร่างเขาสูง บึกบึน ใคร ๆ จึงเรียกว่าเป็น “มือปืน” ประจำตัวบรรเจิด

ปัจจุบันแม้จะมีตำแหน่งหัวหน้าส่วนบริการ แต่ศรีบุตรยังพกปืนรักษาการณ์อยู่บริเวณหน้าห้องกรรมการผู้จัดการบนชั้นที่ 17 สำนักงานใหญ่สหธนาคาร

มีเกร็ดเล็ก ๆ ที่น่าทำให้รู้จักบรรเจิดมากขึ้น-บรรเจิด ชลวิจารณ์เป็นคนค่อนข้างเชื่อเรื่องโชคลางและไสยศาสตร์ ถึงขั้นมีหมอดูประจำตัวคือ ถาวร นิสัยสรการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายธุรการสหธนาคารปัจจุบัน

“คุณถาวรเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของสมเด็จพระสังฆราช วัดสระเกศ ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้ว นอกจากจะมีความรู้เรื่องก่อสร้าง คนแบงก์เชื่อกันนักหนาว่าเป็นหมอดูที่แม่นราวกับตาเห็น” พนักงานเก่าแก่สหธนาคารคนหนึ่งเล่าให้ฟัง

“คุณบรรเจิดชอบผูกดวงของท่านกับดวงของธนาคาร และให้ความสำคัญมากเกี่ยวกับวันเวลาเปิดสำนักงานแบงก์” ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งกล่าว

บรรเจิดวันนี้ไม่มีงานรับผิดชอบมากมายเหมือนเมื่อ 5-10 ปีก่อนแทบจะเรียกได้ว่า บั้นปลายชีวิตของเขาอยู่ที่สหธนาคารแห่งนี้เท่านั้น

“ผมสร้างแบงก์นี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง จนมั่นคงอยู่อย่างเดี๋ยวนี้ เมื่อขยับขยายใหญ่โตขึ้นมาแล้ว ผมจะทิ้งไป ผมก็เป็นห่วง ตราบใดที่ผมยังไม่ตาย ผมยังคุมแบงก์ตลอดไป..” เขาเคยประกาศเมื่อต้นปี 2528

สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตบางทีก็เหลือเดา บทเรียนที่บรรเจิดประสบมาด้วยตัวเองที่บริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลแห่งประเทศไทย (อ่านล้อมกรอบ “ปี 2525 แห่งความเจ็บปวด ฟ้าผ่าบรรเจิดกระเด็นออกจากวงการน้ำตาล-ไม้ขีดไฟ”)

เรื่องนี้ “ผู้จัดการ” เชื่อว่าถาวร นิสัยสรการ จะเป็นผู้บอกบรรเจิดได้ดีกว่าใคร ๆ

สุดท้ายขอแนะนำ หากบรรเจิดมีเวลาน่าจะไปหาวิดีโอ-ภาพยนต์ทีวีชุดสุดฮิตในอเมริกาเรื่อง KANE & EBLE ซึ่งพอจะหาได้แถวถนนสีลม มาชมเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดในห้วงเวลานี้ บางทีอาจมีแง่คิดในทางสร้างสรรค์ก็เป็นได้

ขอให้โชคดี....



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.