เดอะ เนชั่น "คือไทยมิใช่ทาส"


นิตยสารผู้จัดการ( มีนาคม 2529)



กลับสู่หน้าหลัก

หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2514 ภายใต้ชื่อเต็ม ๆ ว่า วอยซ์ ออฟ เดอะเนชั่น" เป็นหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษซึ่งสังกัดอยู่ในเครือเดียวกับหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทยชื่อ "ประชาชาติ" และ "ประชาชาติรายสัปดาห์"

ในยุคหลัง 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519 นั้น กลุ่มนี้คือกลุ่มนักหนังสือพิมพ์รุ่นใหม่ที่แสดงภาพออกมาใหญ่โตมากและสามารถสร้างผลสะเทือนทางความคิดให้กับกลุ่มคน "หัวก้าวหน้า" ในยุคนั้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีต

เดอะเนชั่นเกิดขึ้นมาได้ด้วยผู้ที่ทำหน้าที่เป็นแกนหลัก 3 คน

ธรรรมนูญ มหาเปารยะ อดีตบรรณาธิการข่าวในประเทศของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์

หม่อมราชวงศ์หญิงสุนิดา กิติยากร (ช่วงนั้นยังใช้นามสกุลบุณยรัตนพันธุ์ของอดีตสามี) อดีตบรรณาธิการข่าวสังคมของบางกอกโพสต์และบางกอกเวิลด์

และสุทธิชัย หยุ่น อดีตบรรณาธิการข่าวในประเทศของบางกอกโพสต์เช่นเดียวกับธรรมนูญ มหาเปารยะ เพียงแต่เป็นรุ่นหลัง

"ตั้งขึ้นมาก็ไม่ใช่ว่าใครมาเป็นนายทุนใหญ่ให้ เรา 3 คนก็อาศัยเพื่อน ๆ เกือบ 200 คน ช่วยกันลงเงิน ยืนโต๊ะ ยืมเก้าอี้ ยืมพิมพ์ดีด แล้วก็ทำออกมาด้วยใจและความคิดสร้างสรรค์จริง ๆ" สุทธิชัย หยุ่น เล่ากับ "ผู้จัดการ"

เดอะเนชั่นเกิดขึ้นมาได้เพราะบางกอกโพสต์แท้ ๆ

หรือหากจะกล่าวให้ลึกลงไปอีกก็คงต้องกล่าวว่า เกิดขึ้นเพราะ "ลูกหม้อ" ทั้ง 3 คนนี้เมื่อทำงานไปเรื่อย ๆ ก็ได้ค้นพบ "ข้ออ่อน" อย่างสำคัญของอาณาจักรบางกอกโพสต์เข้า

พวกเขาพบว่าที่ที่เขาอยู่ไม่พยายามสร้างคนไทยเจ้าของประเทศขึ้นมาทำหน้าที่บริหาร "นาย" ชาวต่างชาติคนหนึ่งจากไปก็มี "นาย" คนใหม่ถูกส่งเข้ามาเจ้าของประเทศก็เป็นมือเป็นเท้าไปเรื่อย ๆ แม้ว่าขณะนั้นกิจการจะก่อตั้งมาแล้วกว่า 20 ปีก็ไม่เคยมีวี่แววว่า เจ้าของบริษัทจะมอบความไว้วางใจให้กับคนไทยแต่ประการใด (ซึ่งปัจจุบันบางกอกโพสต์ก็เปลี่ยนทัศนคติอย่างนี้ไปพอสมควรแล้ว)

ยังพบอีกว่า ข่าวที่นำเสนอนั้น ให้ความสำคัญกับข่าวความเคลื่อนไหวและความเป็นไปภายในประเทศน้อยมาก "คุณเชื่อไหมอย่างตอนที่สงครามเวียดนามยังไม่ยุตินั้น 6 ใน 7 วันข่าวลีดคือคือข่าวสงครามเวียดนาม ข่าวของบ้านเรานาน ๆ จะโผล่ออกมาขึ้นลัดที ซึ่งก็เป็นที่พออกพอใจของฝ่ายปกครองไทยช่วงนั้น คือไม่ต้องโดนวิพากษ์วิจารณ์ กลายเป็นว่าเจ้าของหนังสือกับฝ่ายบริหารของหนังสือพิมพ์มีความเห็นสอดคล้องกับฝ่ายปกครอง คือเล่นแต่ข่าวต่างประเทศเป็นหลักข่าวข้างในอย่าไปสนใจมาก สนใจแล้วมันจะยุ่ง ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการนำเสนอข่าวอย่างนี้กลายเป็นฝ่ายพนักงานคนไทย" อดีตนักข่าวของบางกอกโพสต์พูดให้ฟัง

และก็ได้พบสัมผัสกับอีกหลาย ๆ ปัญหา "ซึ่งผมพูดเสมอว่าโพสต์ในยุคนั้นคือหนังสือพิมพ์แขกบ้านแขกเมืองที่เผอิญออกตีพิมพ์ในประเทศไทยเท่านั้น" สุทธิชัย หยุ่น สรุปในที่สุด

ที่จริงก็คงมีหลายคนคิดเช่นเดียวกับธรรมนูญ, คุณหญิงสุนิดาหรือสุทธิชัย หยุ่น เพียงแต่หลาย ๆ คนนั้นอาจจะไม่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวอย่างที่ทั้ง 3 คนนี้มีอยู่คือความทะเยอทะยาน อุดมการณ์ของนักหนังสือพิมพ์รุ่นใหม่และคอนเน็คชั่นบางระดับที่จะช่วยให้ทำกิจกรรมบางสิ่งบางอย่างเป็นชิ้นเป็นอันได้

ซึ่งอย่างน้อย 3 สิ่งนี้มีอยู่ในตัวของทั้ง 3 คนอย่างเห็นได้ชัด

ครั้นเมื่อประกอบกันเข้าก็กลายเป็นหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษฉบับเช้าชื่อ "วอยซ์ ออฟ เดอะ เนชั่น" (ฟังแต่ชื่อก็สื่อไปถึงจุดยืนแล้ว) ประกบแข่งกับบางกอกโพสต์

หลังจากนั้นไม่นานกลุ่ม "วอยซ์ ออฟ เดอะ เนชั่น" ก็ดึงขรรค์ชัย บุนปานกับสุจิตต์ วงษ์เทศ มาออกหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทยชื่อประชาชาติและประชาติรายสัปดาห์โดยฉบับหลังมีธัญญา ผลอนันต์ เป็นบรรณาธิการบริหาร (ออกวอยซ์ ออฟ เดอะ เนชั่นได้ประมาณ 2 ปี ธรรมนูญ มหาเปารยะ ก็เสียชีวิตด้วยมะเร็งที่คอขณะอายุเพิ่งจะ 40 เต็ม)

หนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับได้รับความนิยมจากผู้อ่านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากโดยเฉพาะบรรดากลุ่มหัวก้าวหน้าในสังคมนิยมอ่านกันอย่างยิ่ง

"หลัง 14 ตุลาคม 2516 ก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นยุคที่เสรีภาพเบ่งบาน ซึ่งก็รวมถึงเสรีภาพด้านการเสนอข่าวสารของหนังสือพิมพ์ด้วย แน่นอนช่วงนั้นกลุ่มนี้เป็นกลุ่มหนึ่งที่ถูกฝ่ายปกครองที่ขวาจัดมาก ๆ มองว่าเป็นซ้ายเหมือนกัน ๆ กับพวกนักศึกษากับกรรมกร เช่นเดียวกับที่กลุ่มพลังประชาธิปไตยอีกหลาย ๆ กลุ่มโดนตั้งข้อหาอย่างจงใจกลั่นแกล้งกัน" นักหนังสือพิมพ์อาวุโสคนหนึ่งให้ข้อคิด

ภายหลังเหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 พร้อม ๆ กับการขึ้นมาบริหารประเทศของรัฐบาล "หอย" -ธานินทร์ กรัยวิเชียร หนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับนี้ก็เลยถูกสั่งปิด ห้ามตีพิมพ์เผยแพร่อีกเด็ดขาด

ขรรค์ชัย บุนปาน ต้องหอบหิ้วพลพรรคจากประชาชาติรายวันมาออกประชาชาติธุรกิจและมติชน

สุจิตต์ วงษ์เทศ กลายเป็นเจ้าของโรงพิมพ์

ส่วนคุณหญิงสุนิดากับสุทธิชัย หยุ่น กัดฟันออกหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษต่อไปหลังจากถูกสั่งปิดได้ราว ๆ 1 เดือน

จากชื่อ "วอยซ์ ออฟ เดอะ เนชั่น" ก็กลายมาเป็นชื่อ "เดอะ เนชั่น รีวิว" หัวหน้าหัวใหม่ซึ่งเปลี่ยนตัวบรรณธิการจากสุทธิชัย หยุ่น มาเป็นคุณหญิงสุนิดาแทน

และก็ได้ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาดำเนินงานแทนบริษัทเก่า

ชื่อบริษัทบิสซิเนส รีวิว จัดตั้งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2519 ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 5 แสนบาท มีพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงสุทธิสิริโสภาทรงเป็นหุ้นใหญ่ (หม่อมราชวงศ์หญิงสุนิดาเป็นพระธิดาพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงสุทธสิริโสภา)

การดำเนินงานในช่วงแรก ๆ นั้นก็ทำกันไปได้โดยอาศัยกู้ยืมเงินจากพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงสุทธิสิริโสภามา 5 ล้านบาท

"ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ12 ต่อปี มีเงื่อนไขการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยตามกำลังความสามารถและฐานะทางธุรกิจของบริษัท" ผู้ที่ทราบเรื่องดีบอกให้ฟัง

ว่าไปแล้วการล้ม แล้วได้เกิดขึ้นอีกครั้งนั้น ออกจะเป็นคุณมากกว่าโทษด้วยซ้ำไป

"ก็เล่ากันว่าพระองค์หญิงท่านกริ้วมากที่อยู่ ๆ มาแกล้งปิดหนังสือของพระธิดาท่าน พระองค์หญิงนั้นแต่เดิมท่านไม่เข้ามาสนใจเลย แต่พอเกิดเรื่องเช่นนี้ท่านเข้ามาเต็มพระองค์ทันที ฐานการเงินก็ต้องถือว่าหมดห่วงไปได้มาก.." ผู้ที่ทราบเรื่องดีคนเดิมเล่าต่อ

อีกหลาย ๆ ปีก็เลยผ่านไปพร้อม ๆ กับการดีวันดีคืนของ "เดอะ เนชั่น รีวิว"

ในปัจจุบัน "เดอะ เนชั่น รีวิว" ที่เพิ่งจะตัดคำว่า "รีวิว" ออกไปเป็น "เดอะ เนชั่น" เฉย ๆ เมื่อปีเศษที่ผ่านมาเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 52,575,000.00 บาท เรียบร้อยแล้วโดยผู้ถือหุ้นใหญ่ 39,996 หุ้นก็คือบริษัทโมเดอร์นลิฟวิ่ง (ราคาหุ้นละ 100 บาท บริษัทโมเดอร์นลิฟวิ่งนี้ก็มีหุ้นใหญ่คือพระวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงสุทธสิริโสภากับหม่อมราชวงศ์หญิงสุนิดา กิติยากร)

ซึ่งก็เป็นการปรับเปลี่ยนภายหลังจากเกิด "เลเบอร์ คอนฟริค" ครั้งใหญ่ใน "เดอะ เนชั่น" เมื่อปี 2526

ส่วนสำนักงานใหญ่ก็เพิ่งย้ายจากซอยสุขุมวิท 42 มาที่อาคารโอ่อ่าในซอยแสงจันทร์ (แยกสุขุมวิท 42) เมื่อ 2 ปีที่แล้ว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.