สมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์
มีเสียงพูดกันมากว่าปัญหาแบงก์แหลมทองมันเริ่มจากปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัว?
พวกคุณคงได้ยินข่าวที่ไม่จริงอยู่ตลอดเวลา เอะอะก็อ้างว่ามีเหตุในครอบครัว...เขาจะมาช่วยอย่างโน้นอย่างนี้
ความจริงแม้แต่ตอนพี่ชายผมเสียก็ไม่มีความขัดแย้ง ผมเป็นผู้จัดการแบงก์มา...นี่ก็
11 ปีแล้ว และหลานผมเสียไปจนครบ 4 ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงตอนที่หลายชายผมเสียเราก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกัน
อำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่ผมเต็มที่และไม่มีใครมาอย่างโน้นอย่างนี้กับผม
แต่หลังจากเหน่ง (อภิวัฒน์ นันทาภิวัฒน์) เสียแล้วมันถึงเริ่มมีความขัดแย้ง
(ขณะที่พูดถึงเหน่งเห็นได้ชัดว่าอาลัยมาก) มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเสียใจ
คือว่าผมหวังดีต่อพี่สะใภ้ของผม เขามีตำแหน่งเป็นแคชเชียร์...สามีเขาเสียไปเขาก็เศร้าโศกพออยู่แล้ว
ลูกชายเขาเสียไปอีกคน ผมก็คิดว่าแกเหงา...ผมก็ไปหาคนที่ชื่อ ชัชวาล อภิบาลศรี
มาแทนตำแหน่งของลูกเขาหรือหลานชายผม ซึ่งคนคนนี้ตอนที่ผมทาบทามจะเอาเข้ามาก็มีคนทัดทานไม่เห็นด้วย
โดยให้เหตุผลว่าเคยทำให้ธนาคารเอเชียมีอุปสรรคมาแล้ว
ใครฝากฝังเข้ามา?
ไม่มีใครฝากฝัง...เป็นความคิดของผมเอง ผมเห็นว่าเขาสนิทกับหลานชายผม ผมก็บอกว่าขอมาช่วยผมหน่อยได้ไหม
เขาก็เอา...ผมก็เห็นว่าจะได้มาเป็นเพื่อนพี่สะใภ้ผม แต่เขาเป็นคนพูดคุยเก่ง...พี่สะใภ้ผมก็เชื่อเขาเยอะ
จุดที่ทำให้เกิดความขัดแย้งก็คือคุณชัชวาล?
ผมว่าคุณลงอย่างนั้นก็ไม่ถูก...พี่สะใภ้ผมแกเป็นผู้หญิง และอย่างว่าผู้หญิงก็เป็นคนใจอ่อน
ก็เชื่อเวลาคนใกล้ชิดพูดจาอะไร ผมเองความจริงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับเข้าทั้ง
ๆ ที่อยู่ในบริเวณชายคาเดียวกัน โอกาสที่จะเข้าไปพูดชี้แจงอะไรก็น้อย เขาเอาอกเอาใจกันอยู่เรื่อย...ก็เลยเชื่อไปตามสีสันของเขา
ก็เริ่มไม่มีความพอใจ
แรก ๆ นี่ไม่พอใจใครก่อน ท่านหรือคุณอภิวัฒน์?
เดิมทีก็คงเป็นคุณอภิวัฒน์เพราะ...ก็...สะใภ้กับสะใภ้น่ะ...พูดกันง่าย
ๆ เขาก็สะใภ้คนโต เมียของคุณอภิวัฒน์ก็สะใภ้ ก็เลยมีเรื่องมีราวอะไรกันบ้าง
ซึ่งความเป็นจริงสมัยพี่ชายผมยังอยู่เขาไม่ฟัง
แสดงว่าเริ่มรอยร้าวมาตั้งแต่สมัยที่คุณไพศาลยังอยู่
ใช่...แต่พี่ไพศาลแกไม่ฟังเสียงภรรยาของแก แกเด็ดขาด หลังสิ้นคุณไพศาลก็ยังไม่มีอะไร
แต่พอหลังสิ้นเหน่งก็มีคนไปพูดให้แกเขวว่าแกเหลืออยู่คนเดียว จะถูกอย่างโง้นอย่างงี้
แกก็เลยชักเขวไปใหญ่
เดิมทีคุณสุระก็ให้ความนับถือท่านมากทีเดียว
ผมพูดได้คำเดียว...คุณสุระเขาเป็นคนฉลาด แต่เขาเป็นคนฉลาดที่ทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
ส่วนผมมีหลักการ ผมทำเพื่อส่วนรวม มันจะไปเข้ากันได้อย่างไร ตราบใดเขามาขอให้ผมช่วยเหลือ...ผมให้เขา...เขาก็ยกย่องผม
กราบไหว้ผม แต่ถ้าเมื่อไหร่ผมไม่ให้เขา ..เขาก็ว่าผม
อย่างแบงก์นี่เมื่อก่อนตระกูลผมถืออยู่ 60 เปอร์เซ็นต์ เดี๋ยวนี้เหลือ
10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ผมก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร เขา...เมื่อก่อนเขาไม่มีอะไรเลยในแบงก์
คุณเหน่งเป็นคนให้หุ้นเขาไปใช่ไหมครับ ?
เขาไปพูด...ไปลงหนังสือพิมพ์อย่างนั้น ซึ่งไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น เมื่อตอนที่เหน่งเสียชีวิต...พี่สะใภ้ผม
บอกให้ผมเป็นผู้จัดการมรดกของเหน่ง มอบหมายให้ผมหมด ผมไปขอให้คุณสรรเสริญ
ซึ่งในฐานะที่เป็นพ่อตาเหน่งมาช่วยจัดการ เขาก็บอกว่าเรื่องนี้เป็นสิทธิ์ของนันทาภิวัฒน์
คุณก็ว่าไปคนเดียวเถอะ (คุณสรรเสริญ ไกรจิตติ อธิบดีศาลอุทธรณ์ในขณะนั้น)
ผมไปเปิดดูบัญชีนายเหน่ง เห็นมีใบหุ้นเป็นภูเขาเลากา ซึ่งเป็นหุ้นที่ผมให้เขาเป็นการส่วนตัว และหุ้นที่จัดให้เขาซื้อในราคาที่ผมมีส่วนที่จะได้...70,000
หุ้น แล้วก็มีส่วนที่เขาไปซื้อ...ไม่รู้...ทั้งหมดเขามีอยู่แสนกว่าหุ้น ผมก็สอบถามดู ปรากฏว่าส่วนหนึ่งเป็นของคุณหญิงเลอศักดิ์
สมบัติศิริ 2 หมื่นเกือบ 3 หมื่นหุ้น ผมก็เลยเรียกเลขามาถามว่า เอ๊ะ... นี่เอามาจากไหนเพราะยังไม่ได้ใส่ชื่อ
แต่โอนลอยเอาไว้ เลขาก็บอกว่าคุณเหน่งไปเอามา 2 วันก่อนหน้าที่จะเสีย
ผมก็ถามว่าเอาเงินที่ไหนจ่าย... มูลค่าตั้ง 10 กว่าล้านบาท เขาบอกว่าก็จ่ายเช็คผ่านมิดแลนด์...
ผมก็ได้เรียกนายกุรดิษฐ์เข้ามาบอกเขาว่าขอทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้
เขาก็บอกว่าคุณเหน่งกับเขาตกลงเข้าหุ้นซื้อกันคนละครึ่ง ผมก็ซัก และรู้ว่าไม่เป็นความจริงเพราะเหน่งรักหุ้นของเขาจะตายไป
เรื่องอะไรจะเข้าหุ้นกับคนอื่น
ผมก็ว่าอย่างนี้ดีกว่าคุณอย่าพูดเลยว่า คุณเหน่งเข้าหุ้นหรือไม่เข้าหุ้น...คุณเหน่งเป็นหนี้คุณอยู่เท่าไหร่
เขาก็บอกว่ามีประมาณ 18-19 ล้านบาท ผมก็ถามว่ามีอะไรบ้าง เขาก็บอกว่าเป็นค่าหุ้นบ้าง ไปเที่ยวฮ่องกงเท่าโน้น...ซื้อรถยนต์เท่านี้
ผมก็ถามว่าเขามีหลักฐานหรือเปล่า...เขาบอกว่าไม่มี
แล้ว...คุณ... ผมเป็นผู้จัดการแบงก์ ผมไม่เคยเอาอะไรจากใคร..จะให้ผมโกงเขาอย่างนั้นแหละ
ผมไม่รู้ไม่ชี้ผมก็ทำได้ ผม...ก็...เอ...มาเช็กดูกับเลขาว่าไปเอาเงินจากมิดแลนด์มา
10 กว่าล้าน...ถามเขาไม่ค่อยรู้ ผมก็มาคิดว่าเดิมทีเหน่งเขาอยากได้หุ้นไว้แยะ
ๆ เขาก็เคยบอกกับผม...เขาต้องการหุ้นไว้เพราะต่อไปเขาจะได้เป็นผู้จัดการเขาก็ต้องการหุ้นไว้สนับสนุน
ผมมาคิดว่าไหน ๆ เหน่งแกก็เสียไปแล้ว ลูกชายก็อายุ 3-4 ขวบในตอนนั้น...อีกกี่ปี...
เหน่งจะไปมีทายาทที่ไหนผมก็เห็นแล้วว่าหุ้นมันตั้งแสนกว่าหุ้น ตอนนี้เรามีทุนอยู่
50 ล้านบาท…ตอนที่เหน่งเสีย ก็เท่ากับ20 กว่าเปอร์เซ็นต์
แสดงว่าคุณเหน่งไปกว้านซื้อหุ้นโดยที่ไม่บอกให้ใครทราบ?
ส่วนหนึ่งผมก็รู้... มีประมาณ 30,000 หุ้นที่ไปซื้อคุณหญิงเลอศักดิ์มา...ราคาหุ้นละ
450 บาท นี่ผมมารู้ทีหลัง...ผมก็เรียกกุรดิษฐ์มา ก็บอกว่าเอา......ผมมีหุ้นอีกส่วนหนึ่งที่มีราคาถูกเอาไปผสมกับของเหน่งได้
37,000 หุ้น...เฉลี่ยราคาออกมา 408 บาทต่อหุ้น เอาหุ้นไปแล้วหนี้สินหมดกัน
ใคร ๆ ก็ว่าผมโง่ (มูลค่าหุ้นที่ภิวัฒน์ซื้อคุณหญิงเลอศักดิ์ ประมาณ 13,500,000
บาท มูลค่าหุ้นที่สมบูรณ์จ่ายหักหนี้ 15,096,000 บาท)
คุณเล็กไม่ได้ว่าอะไร?
คุณเล็กไม่ได้ว่าอะไร ผมก็เล่าให้ฟังว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้ คุณเล็กก็บอกว่าไอ้แขกมันโกง
เพราะหนี้ที่ผมจ่ายให้เขาส่วนหนึ่งเป็นแค่คำพูด...ไม่มีหลักฐานอะไร แต่ผมคุณลองคิดดูซิว่า...
ผมก็ต้องรักษาชื่อเสียงของตระกูลผม แล้วถ้ามันไปสวดข้างนอกว่าผมโกงมัน...แล้วผมจะทำยังไง
จริงอยู่เขาทำอะไรไม่ได้ ฟ้องร้องก็ไม่ได้ แต่เขาไปบอกว่าผมโกงเขา... ผู้จัดการไม่ยอมให้เขาแล้วอะไรจะเกิดขึ้น
ใคร ๆ ก็ว่าผมโง่... ว่าเรื่องอะไรต้องไปให้หุ้น ขณะเดียวกันที่เขาได้ไปเขาก็มากราบผม...บอกว่าที่เขาได้หุ้นนี้ไปเขาจะไปทำอะไร...จะขอเทิดเอาไว้สนับสนุนผม
...ไม่มาทำอะไรต่าง ๆ...ไม่มายุ่งเกี่ยวกับแบงก์ ทั้ง 2 พี่น้อง...ทั้งนายกุรดิษฐ์และนายสุระ
ไม่ใช่อย่างที่เขาพูดในหนังสือพิมพ์หรอกว่า ... หุ้นอยู่ในเซฟของเขา แล้วเขาเอามายื่นให้ผมแล้วผมคืนกลับไปให้เขา
เขาไปแต่งนิยายมาพูดเอง คุณไปถามซิ อนงค์นัย... เขาเป็นเลขาของนายเหน่ง ชื่ออนงค์นัยเดี๋ยวนี้ก็ยังทำงานอยู่..คุณไปสัมภาษณ์เขาไหมล่ะ
ว่าความจริงเป็นอย่างไร
มีคนทราบเรื่องนี้เป็นผู้ใหญ่บ้างหรือเปล่า?
ก็เป็นที่รู้กัน แต่ผม... ก็เป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียว ผมก็บอกกับแม่เขาคือพี่เล็ก
พี่เล็กเขายังบอกว่าแขกมันโกง มาเคลมหนี้สินอะไร...ไปเที่ยวฮ่องกงอะไรตั้งล้าน...ซื้อรถยนต์ซื้ออะไรตั้งเท่าไหร่
ๆ
ปกติคุณเหน่งเป็นคนฟุ่มเฟือยไหมครับ?
แกก็นั่นแหละ... แกเป็นคนมือเติบ เป็นคนที่พูดง่าย ๆ ว่าเป็นคนเผื่อแผ่...เอาอย่างงั้นดีกว่า
แกเห็นอะไรก็ชอบซื้อฝากผู้ใหญ่ ฝากเพื่อนฝูงพี่น้อง แกเป็นคนใจดี...น้ำใจกว้างขวาง
กับอา... คือคุณอภิวัฒน์…
เขาก็สนิทกันมาแต่เก่า เขาไม่มีอะไรกันหรอก เขาเคยคุยเล่นกันมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ
แต่นี่คุณที่ผมเล่าให้ฟังนี่แหละ... ที่เขามาพูด โธ่...ผมไม่เคยไปเบี้ยว...ไปค้าง
บางคนก็ว่าผมว่าเท่ากับไปยื่นหอกให้ศัตรู ก็ผม... คือตอนนั้นเขาก็เป็นลูกค้าของแบงก์
แล้วเราก็ไม่มีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น
แล้วเขาไปพูดกับหนังสือพิมพ์ว่าพอเหน่งตายเขาไม่สามารถร่วมงานกับผมได้
เขาไม่มีทางที่จะร่วมงานกับผมได้.. ใช่ไหม หลังจากที่คุณเหน่งเสีย ผมก็ขอบอกว่ามันเป็นเรื่องที่มุสา
เขาเองเป็นคนมากราบมาขอผม บอกว่าอะไรที่แบงก์เคยช่วยเหลือตั้งแต่ตอนที่เหน่งยังไม่เสีย ก็ขอให้ช่วยต่อ
ตอนนั้นผมก็ช่วยเขา ก็พูดตรง ๆ ที่เขาได้ไปตั้งแต่ต้น... ตั้งแต่ไอ้มิดแลนด์สนามกอล์ฟ
ไทยประสิทธิ์ประกันภัย ...ผมก็ช่วยเขาทั้งนั้น ...ตอนที่เหน่งยังมีชีวิตอยู่
ตึกโชคชัยนั่นเหน่งเขาเสียชีวิตแล้วเขามาขอผม อย่างรามาทาวเวอร์เขาก็มาขอผมช่วยตอนที่เหน่งเสียไปแล้ว...
ก็ยังช่วยเขาอยู่ แล้วเขามาพูดได้อย่างไรไม่มีวันที่จะร่วมงานกันได้ซึ่งผมไม่อยากไปกล่าวตอบโต้
เขาเรียกว่าอะไร.... ไปพูดกับคนที่ คนที่ไม่มีคุณธรรม เขาพูดเพื่อประโยชน์ของเขาเองไม่นึกว่าความจริงมันคืออะไร
พูดง่าย ๆ ว่าเขาโกหกได้อย่างหน้าตาเฉย อยู่ตลอดเวลา ผมให้หุ้นเขากับมือผมเองเพื่อหักลบกลบหนี้สิน
แล้วคนที่เขารู้เขาก็บอกว่านี่แหละไปเชื่อไปไว้ใจแขก พอจากนี่มันก็เลยกลายเป็นฐาน
แต่สิ่งที่ผมบอกตรง ๆ ผมให้เขาไป 37,000 หุ้น แล้วอีก 7 หมื่นหุ้น ซึ่งมันก็ควรเป็นของผมเพราะผมให้กับเหน่ง
และเหน่งตายไปโดยไม่มีพินัยกรรม ผมแบ่งให้ลูกชายเขา 30,000 หุ้น ให้แม่เขา
20,000 หุ้น ให้เมียเขา 20,000... ผมก็ทำโดยหน้าที่บริสุทธิ์ใจ แล้วใครไปคิดว่าของทั้งหมด...
70,000 หุ้น รวมกับหุ้นเก่าพี่สะใภ้ผมเขาจะเฮโลรวมกับไอ้แขกมาเล่นงานผม ผมก็คาดการณ์ไม่ได้
พอจะทราบไหมครับว่าคุณสุระเข้ามากลมเกลียวกับฝ่ายพี่สะใภ้ท่านในช่วงไหน?
แหม...ผม คือหลังจากเหน่งเสียไปเขาก็มา.... หลังจากเหน่งเสียแล้วนะคุณพูดกันตรง
ๆ เขาก็มาประจบประแจงเอาใจ เรียกคุณแม่ ตอนที่คุณเหน่งอยู่เขาไม่วุ่นวายด้วยหรอก
เขาก็เก่งฉลาด...ไอ้นี่ ไปไหนมาไหนเขาคอยเอาอกเอาใจ ดูแลเป็นพิเศษอย่างโน้นอย่างนี้
เรื่องมันก็เท่านี้ พี่เล็กแกเป็นผู้หญิงคนไหนดีกับชั้น ชั้นต้องนึกถึงบุญคุณ
ทั้งที่ตอนแรกคุณเล็กก็ไม่ได้ชอบคุณสุระ
คุณก็ไปถามเขาดูสิ ตอนแรกที่เขามาเคลมหนี้ของคุณเหน่ง.... เขาก็ว่าไอ้แขกมันโกง
มาตอนหลังเขาก็เป็นปี่เป็นขลุ่ยกัน ทุกคนก็มาพูดว่าเป็นความผิดของผมที่ไปยกหุ้นให้เขาเพราะไม่อย่างนั้นก็มีหุ้นอยู่แค่
200 หุ้น จากนั้นเขาก็เริ่มซื้อเงียบๆ เก็บไว้เรื่อยๆ คือหุ้นของผมกับน้องๆ
ของผมมีอยู่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ของพี่สะใภ้ผมและลูกๆ ของเขามีอยู่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์
เราก็คิดว่าเราไม่มีปัญหาใครจะไปคิดว่ามันจะมีเรื่องมีราว
สุระ จันทร์ศรีชวาลา
อยากจะถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลบางอย่างที่เราได้มา คือเรื่องหุ้นล็อตใหญ่ล็อตแรกที่คุณสุระได้มาเป็นเพราะคุณสมบูรณ์ให้เพื่อกลบหนี้ของคุณเหน่ง
(ภิวัฒน์ นันทาภิวัฒน์) ที่ค้างมิดแลนด์ อยู่ใช่หรือเปล่า?
จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น จริง ๆ แล้วทางคุณพูดมามันก็ถูก...แต่มันคลาดเคลื่อนนิดหนึ่ง
หุ้นจำนวนนั้นไม่ใช่เป็นหุ้นส่วนกันซื้อ หุ้นจำนวนนั้น (30,000 หุ้น) คุณเหน่งให้เราไปซื้อ
โดยที่เราเป็นคนออกเงินไปแทน คือเราเป็นเพื่อนกัน และมีสมมุติฐานอันหนึ่งว่าธุรกิจแบงก์นี้เราไม่ยุ่ง
เป็นของคุณเหน่งคนเดียว
แต่เรายินดีทำทุกอย่างเพื่อคุณเหน่ง อะไรที่คุณเหน่งต้องการเนื่องจากคุณเหน่งไม่มีมือ...เรายินดี
อะไรที่อยู่บนฐานแห่งความจริง เพราะ.... คุณเหน่งมีอะไรที่ต้องการจะใช้ธุรกิจโดยผ่านทางมิดแลนด์หรือเชียงใหม่ทรัสต์หรือยูนิโก้ในขณะนั้น
เราก็พร้อมที่จะทำให้ ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน... ในฐานะที่มันเป็นธุรกิจ
สมมุติว่าคุณเหน่งต้องการปล่อยให้กู้กับนาย ก. แต่ โอ.เค. ... ทำผ่านแบงก์ไม่ได้
ก็ให้ทำผ่านมิดแลนด์ เชียงใหม่ทรัสต์ หรือ ยูนิโก้... เรามีความเข้าใจเรื่องนี้ต่อกัน
คือความหมายว่าทำทุกอย่าง...แต่ว่าแบงก์ก็เป็นของเหน่ง...ไฟแนนซ์เป็นทางเรา
คือ ไม่ต้องมายุ่งกัน
หลังจากนั้นก่อนคุณเหน่งตายนิดหนึ่ง คุณเหน่งถึงมาเปลี่ยนว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า
เนื่องจากคุณเหน่งต้องการขยาย... และผมพูดอย่างตรง ๆ เลยว่า...นี่ไม่ใช่พูดเอาหน้าเอาตาหรืออะไร
เราพูดได้เลยว่าเราเป็นกำลังสำคัญอันหนึ่งของคุณเหน่ง คือคุณเหน่งปรับตัวคุณเหน่งเองจากการที่ไปทำงานแบบลูกอาเสี่ย...
จาก 10 โมงกว่า ๆ...บอกคุณเหน่งปรับตัว ขอให้ไปทำงานแต่เช้า...ไม่ใช่ผมคนเดียว
ผมอยากจะพูดถึงน้องด้วย (กุรดิษฐ์)
เราเป็นกำลังสำคัญอันหนึ่งที่ดันคุณเหน่งให้ปรับตัว ระยะหลังจึงสังเกตได้ว่าคุณเหน่งไปทำงานก่อนพนักงานแบงก์จะมาไปถึงที่นั่นประมาณ
7 โมงกว่า ๆ คือก่อน 8 โมงเช้า จากการที่แกไป 10 โมงครึ่ง หรือ 11โมงเช้า
หรือบางวันไม่ไปเลย หรือว่ากลับ..บ่ายโมง... บ่ายสองโมงกลับแล้ว คุณเหน่งแกเปลี่ยน...ปรับมากลับตอนเย็น
คือแกเริ่มทำงานแบบมืออาชีพ
เรื่องหุ้นก็เหมือนกัน ความจริงรายการนั้นเป็นรายการที่คุณเหน่งให้เราเป็นคนซื้อ
แล้วเราก็เอาเงินจากมิดแลนด์ไปซื้อหลังจากคุณเหน่งเสียชีวิตไปแล้ว คุณสมบูรณ์มาเห็นก็ตกใจ....กลับโกรธพวกเราด้วยซ้ำ
ตอนแรกที่คุณสมบูรณ์ไม่รู้ว่าเช็คจำนวนนี้จ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว วันนั้นคุณสมบูรณ์สั่งคุณตริน
(บุนนาค) สั่งคุณตรินให้ระงับการจ่ายเงินให้แก่คุณหญิงเลอศักดิ์ (สมบัติศิริ)...ไม่ต้องการจะซื้อ
แต่เนื่องจากมารู้ตอนหลังว่าเช็คอันนี้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว...จ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว
ก็เรียกพวกเราไปถามว่า ทำไมถึงซื้อ เราก็เล่าให้ฟังว่าคุณเหน่งต้องการซื้อ
และสั่งให้ผมจ่ายเงินไปก่อน ผมก็เอาเงินไปจ่ายแทนก็จบ
หนี้สินที่คุณเหน่งมีกับทางมิดแลนด์ตอนนั้นรู้สึกว่าจะมากกว่าราคาหุ้น
ผมจำไม่ได้ว่าจำนวนเท่าไหร่... ผมจำจำนวนเงินไม่ได้ แต่รู้ว่าทางเราเป็นคนจ่ายเงินแทนไป
มีค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าเที่ยวฮ่องกงหรือซื้อรถยนต์ใช่ใหม?
ไปฮ่องกง…ซื้อรถยนต์ หมายความว่าอย่างไร
หมายถึงคุณกุรดิษฐ์ให้เงินคุณเหน่งใช้ไปก่อนในการไปเที่ยวฮ่องกงหรือซื้อรถยนต์
ไม่มีหรอกครับ... ไอ้เรื่องที่... คืออันนี้ผมว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสีให้ร้ายคุณเหน่งในขณะคุณเหน่งตายไปแล้ว
เรื่องที่ผมซื้อรถยนต์...หรืออะไรต่ออะไรให้คุณเหน่งนั้นมันไม่เป็นความจริง
รถยนต์ที่คุณเหน่งอาจจะซื้อเองแต่เงินอาจจะไม่พอ... เพราะอาจโดนคุมเรื่องการเงินเลยเอาเงินกุรดิษฐ์ออกไปก่อน
อันนั้นอย่าว่าแต่คุณเหน่งเลย คุณสมบูรณ์ขอผม...ผมก็ให้ แล้วผมก็เคยให้มาก่อนแล้ว
ผมทดรองให้เงินคุณสมบูรณ์ยืมก็มี...เหมือนกัน ไม่ใช่คุณเหน่งคนเดียว เพราะผมถือว่าเป็นนายแบงก์ผม
ผมใช้เงินเขา 200-300 ล้านบาท...พวกนี้หยิบยืมเงินผมใช้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
แกล้งลืมบ้างก็ไม่เป็นไร?
ผมคิดว่าอันนั้นก็มีอยู่ แต่ว่าโอ.เค. ผมอยากจะพูดว่าเขาต้องการหลักฐาน...นะฮะ
แต่อันนี้ผมพูดได้ตลอดเวลาว่าสมัยคุณเหน่งแกไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ถ้ายืมแล้วแกจะให้
ไม่ใช่แก บอกว่าคุณสุระคุณไปจ่ายเงินค่านู่นค่านี่ให้ผม...แล้ววันหลังพอผมทวงนี่นะแกบอกว่าขอดูหลักฐาน..
เหมือนอย่างที่คนบางคน กำลังขอผมอยู่ (คว้าเทปไปจ่อที่ปาก) ขอให้พูดเสียงดัง
ๆ หน่อย
เวลานี้มีนายแบงก์คนหนึ่งไปเล่นทองเอาไว้ แล้วต้องการเอาหลักฐานว่าเขาเป็นหนี้อยู่ยังไงกับทางฮ่องกง...อันนี้ไม่ใช่ผม…กับทางฮ่องกง
ก็สรุปว่าการได้หุ้นมาครั้งแรกเป็นการหักลบกลบหนี้กัน... เพราะเช็คมันจ่ายไปแล้ว
มันไม่ใช่อย่างนั้น...ผมว่าหุ้นที่ได้มาตอนหลังคือคุณสมบูรณ์ตกลงให้หุ้นกับพวกผม
เพราะพวกผมได้แสดงเจตนาที่บริสุทธิ์และแน่วแน่เลย...หลังจากที่คุณเหน่งเสียชีวิตว่าพวกผมไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวหรือเกี่ยวข้องกับธนาคารแหลมทองใด
ๆ ทั้งสิ้น พวกผมได้แสดงเจตนาหลังจากพวกพี่น้องได้ประชุมกันแล้ว...เอาหุ้นทั้งหมดไม่ใช่ก้อนนั้น...เพราะคุณสมบูรณ์ขอทั้งหมด
37,3000 หุ้นใช่ไหมครับ ?
ผมจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ทั้งหมด ในขณะนั้นครอบครัวผมมีอยู่นอกเหนือจากที่ซื้อหุ้นจากคุณหญิงเลอศักดิ์แล้วหุ้นอื่น
ๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ในกลุ่มที่ครอบครองอยู่...เอาไปให้คุณสมบูรณ์เราได้แสดงเจตนาว่าเราไม่ได้ต้องการที่จะมายุ่งเกี่ยว
หรือแม้แต่จะเป็นลูกค้าของธนาคาร...เพราะในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องหรือไม่เข้าใจกันแล้ว
ถ้ามานั่งกังขากันก็ขออย่าคบค้ากันดีกว่า คบกันในฐานะคนที่รู้จักกันไม่ใช่ว่าในฐานะที่เป็นคนที่ไม่เข้าใจภาษากัน
ตอนนั้นใครไปติดต่อกับคุณหญิงเลอศักดิ์
คุณกุรดิษฐ์น้องชายผม
ไม่ใช่คุณเหน่ง
คุณเหน่งรู้เรื่อง...เรื่องนี้ ผมจำไม่ได้นะว่าคุณเหน่งเป็นคนติดต่อมากน้อยแค่ไหน...
แต่ตลอดเวลาคุณกุรดิษฐ์เป็นคนจัดการและคุณหญิงเลอศักดิ์ก็รู้ว่าหุ้นจำนวนนี้ตกลงขายให้คุณเหน่ง...ไม่ใช่คุณกุรดิษฐ์
คุณกุรดิษฐ์ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือคนซื้อ แล้วเราก็แสดงความบริสุทธิ์ใจหลังจากคุณเหน่งตายแล้ว
โดยการบอกให้คุณสมบูรณ์รู้...แล้วคืนทุกอย่างให้แต่ก็ยังเอากลับมาให้เรา
ตอนนั้นถ้าคุณสมบูรณ์จ่ายเป็นเงินสดก็จบ
เราได้แสดงความบริสุทธิ์ใจแล้ว...หรือแม้จะเป็นวันนี้...แกมาพูดกับผม...ผมขายให้เลย
การไปติดต่อซื้อหุ้นคุณหญิงเลอศักดิ์นี่คุณเล็กทราบเรื่องมาตลอดใช่ไหมครับ?
ใช่ครับ
เป็นไปได้ไหมครับว่าคุณเล็กพูดกับคุณสมบูรณ์ว่าน่าจะให้คุณสุระมีหุ้นอยู่ด้วย
อันนี้ผมไม่ทราบ และผมไม่ต้องการจะรับทราบเลย...พูดกันตรง ๆ ผมถือว่าครอบครัวผมเป็นพ่อค้า
เราได้แสดงเจตนาที่บริสุทธิ์ ให้เขาแล้วว่าผมไม่ต้องการจะเป็น...แต่เขาจะให้ผมเป็น...เคลียร์นะฮะ