มีใครบ้างที่ไม่ต้องการพลเอกเปรม


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2529)



กลับสู่หน้าหลัก

สถานีวิยุ บี.บี.ซี. กรุงลอนดอนได้นำบทรายงานข่าวเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลไทย "ไฟแนนเชี่ยล ไทม์" ไปออกอากาศ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมามีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า

"ดุลทางการเมืองยังอยู่กับฝ่ายทหาร มากกว่าประชาชนผู้ออกเสียง… พลเอกชวลิตมีบทบาทสำคัญที่ไม่เปิดเผยออกมาในวงกว้าง ต่อการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ และโน้มน้าวให้หัวหน้าพรรคการเมืองต่าง ๆ เปลี่ยนใจกลับคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ก่อนการเลือกตั้ง ที่ว่า ให้มีนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง"

บทรายงานข่าวชิ้นนี้มีข้อผิดพลาดอันสำคัญประการหนึ่ง นั่นคือ ตรงที่ว่าพลเอกชวลิตโน้มน้าวบรรดาหัวหน้าพรรคการเมืองต่าง ๆ

ความจริงถ้าติดตามกันโดยตลอดจะพบว่า พลเอกชวลิตไม่ต้องมีการโน้มน้าวกันเลยแม้แต่น้อย

หากต้องโน้มน้าวก็คงเป็นการโน้มน้าวให้รอร่วมรัฐบาลชุดหน้ามากกว่า เพราะในรัฐบาลชุดนี้มีผู้สนับสนุนพลเอกเปรมมีเกินกว่าที่จะจัดโควต้ารัฐมนตรีกันได้อย่างเหมาะสมเสียด้วยซ้ำ

พรรคประชาธิปัตย์บางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิชัย รัตตกุล หัวหน้าพรรคนั้น การประกาศไม่เอาพลเอกเปรมมาเป็นนายกรัฐมนตรีในคราวหาเสียง โดยเจตนาแล้วต้องยอมรับว่าพิชัยต้องการอย่างนั้นจริง ๆ

แต่ความต้องการของพิชัยก็คือการต่อสู้ทางการเมือง ในขั้นแรกก็ต่อสู้เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งจนมีเสียงข้างมากแต่เพียงพรรคเดียวในสภา

เมื่อไม่สำเร็จก็ต้องต่อสู้กับพรรคอื่น ๆ ในการจัดตั้งรัฐบาล และเมื่อไม่สำเร็จอีก ก็ต้องต่อสู้กันในพรรค ว่าถ้าเป็นอย่างนี้พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นฝ่ายค้านหรือจะยอมร่วมรัฐบาล ภายใต้การเป็นนายกรัฐมนตรีของพลเอกเปรม

รู้กันเต็มอกว่า หลังจากแพ้ขั้นแรกพิชัยก็ต่อสู้ในขั้นที่ 2 และ 3 อย่างแกน ๆ

พร้อมกับการที่พิชัยและพลพรรคส่วนหนึ่งประกาศก้องว่า นายกรัฐมนตรีต้องเป็นบุคคลที่มาจากการเลือกตั้งภายในพรรคเองก็ไม่ได้เป็นเอกภาพในปัญหานี้นัก

ความจริงที่เป็นอยู่นั้น นักการเมืองในสายภาคใต้ ล้วนเหนียวแน่นกับพลเอกเปรม เหนียวแน่นมากกว่าหัวหน้าพรรคของตัวเองเสียอีกก็แทบจะกล่าวได้

กำลังและบารมีนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์สายภาคใต้มีมากแค่ไหนตำแหน่งเลขาธิการพรรคของวีระ มุสิกพงศ์ และจำนวน สส. จากภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ทุกสมัย ล้วนเป็นคำตอบที่ชัดเจน

ภายหลังการเลือกตั้งจึงไม่ยากที่พิชัย รัตตกุล และนักการเมืองในส่วนที่เคยประกาศว่าไม่เอาพลเอกเปรม ต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเอง ด้วยการชี้นำของมติพรรค

พรรคกิจสังคมนั้นไม่มีปัญหา ป้ายประกาศคราวหาเสียงของพลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา ที่มีใจความว่า "สนับสนุนให้ พล.อ.อ. สิทธิ เป็นนายกรัฐมนตรี โปรดเลือก เบอร์1-2-3" นั้น เปิดเงื่อนไขให้แก้ตัวได้สบายกว่าพิชัย

ป้ายนั้นไม่ได้บอกว่าไม่เอาพลเอกเปรม หรือนายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง เมื่อพรรคกิจสังคมได้รับเลือกมาแค่ 51 คน พลอากาศเอกสิทธิ จึงเป็นนายกฯ ไม่ได้

และก็รู้กันอยู่เต็มอกเหมือนกันว่า การยกป้ายประกาศอย่างนั้น เป็นเรื่องที่แทบไม่มีโอกาสเป็นศูนย์ ป้ายนั้นมีความหมายเฉพาะเทศกาลหาเสียงเท่านั้น

พลอากาศเอกสิทธิเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ภายใต้การนำของพลเอกเปรมในโควต้าของพลเอกเปรม ก่อนเข้าสังกัดพรรคกิจสังคม รวมทั้งพลอากาศเอกสิทธิสนิทสนมกับพลเอกเปรมมากแไหนนั้นไม่มีใครที่ไม่รู้

ที่สำคัญกว่านั้น ในพรรคกิจสังคม บุรุษหมายเลข 1 ตัวจริง ก็คือ พงส์ สารสิน เขาผู้นี้มีภาพปรากฏต่อสังคมในบทบาทของนักธุรกิจมากกว่านักการเมือง นักข่าวที่เคยพบพงส์ต่างผิดหวังเพราะมองไม่เห็นความแปลมคมอันใดจากตัวเขาผู้นี้

แต่สำหรับคนที่สัมผัสใกล้ชิดนั้น ต่างรู้ดีว่า พงส์เป็นนักการเมืองมือระดับ "เซียนเหนือเซียน" แค่ไหน

พงส์เป็นนักเดินเกมส์มากกว่าเป็นนักประกาศปรัชญาและอุดมการณ์ งานการเมืองในหัวของพงส์ไม่ใช่งานการเมืองที่ต้องการชูธงของพรรควิ่งไปปักยังเป้าหมาย พร้อมตีฆ้องร้องป่าวและประกาศเปรี้ยงปร้างโครมคราม

พงส์เป็นบุคคลในสังกัดพรรคการเมืองก็จริง แต่ในสายตาของเขานั้น พรรคการเมืองก็คือ หนึ่งในดุลกำลังทางการเมืองอีกหลาย ๆ จุด ว่ากันว่าที่ผ่านมาตลอดเวลานั้น พงส์เป็นผู้เดินเกมส์การเมืองในฐานะผู้เดินเกมส์วงกว้างมากกว่าตัวแทนจากพรรคกิจสังคมที่เดินเกมส์ต่อสู้กับดุลกำลังอื่น ๆ

หนังสือพิมพ์บางฉบับเคยเขียนถึงพงส์ในประเด็นนี้ ในทำนองว่า "พงส์เป็นคนของกิจสังคม หรือเป็นคนของฝ่ายอื่นที่มาอยู่ในกิจสังคมกันแน่"

หลาย ๆ ครั้ง คนในพรรคกิจสังคมแสดงความไม่พอใจที่พงส์ไม่ทำพรรคให้ฮือฮาและมีบรรยากาศทางการเมืองเหมือนที่พิชัยกำลังทำอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์

ที่แน่นอนนั้น พงส์ไม่เคยเคร่งเครียด ไม่ชอบเรื่องที่ต้องเหน็ดเหนื่อย ทำตัวสนุกสนาน นอนตื่นสาย ไม่ชอบขวางลำและมีสัมพันธ์อันดีกับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ

วิกฤติรัธรรมนูญจนกระทั่งพลเอกเปรมยุบสภาให้เลือกตั้งกันใหม่เมื่อปี 2526 นั้น พรรคกิจสังคม โดย มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ปะทะกันค่อนข้างรุนแรงกับหัวขบวนของกองทัพบก แน่นอนมีพลเอกชวลิต รวมอยู่ด้วย

ภาพที่ปรากฏออกมานั้นเหมือนกับว่า ทั้ง 2 ฝ่ายจะเอาเป็นเอาตายกันให้ได้

ขณะเดียวกันพงส์กับพลเอกชวลิตก็มีนัดกินข้าวร่วมกันพร้อมการเสวนากันอย่างอบอุ่นโดยสม่ำเสมอ

หลักฐานการเป็นคนไม่ชอบขวางลำแสดงออกมาในตอนนี้ด้วยการที่พงส์ตัดสินใจถอนตัวจากการลงสมัครรับเลือกตั้งในปีนั้น ทั้ง ๆ ที่มีการวางตัวกันไว้แล้ว

สนามเลือกตั้งในเขตกรุงเทพปีนั้นแม้ว่าพรรคกิจสังคมกำลังมีเครดิตสูงจากวิกฤตินี้ แต่พรรคกิจสังคม กลับจัดทัพลงสู้รบแบบไม่หวังผล

ถึงวันนี้พงส์ สารสิน กับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ก็มิใช่ใครอื่น และวันนี้พลเอกชวลิต ก็คือผู้บัญชาการทหารบกที่ให้การสนับสนุนพลเอกเปรมอย่างไม่เป็นอื่น

พรรคชาติไทย ระยะแรกมีปัญหานิดหน่อย นัยว่าบทบาททางการเมืองหลายประการระหว่างพลตรีประมาณกับพลเอกเปรม ยังฝังใจกันอยู่

แต่เมื่อมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคจากพลตรีประมาณ มาเป็นพลตรีชาติชายในช่วงที่เทศกาลหาเสียงกำลังเริ่ม การเตรียมการให้ครบวงจรเพื่อเตรียมเข้าร่วมสนับสนุนพลเอกเปรมของพรรคชาติไทยจึงเสร็จสิ้น

พลตรีชาติชายกับนายบรรหาร ศิลปอาชานั้นถือได้ว่าเป็นผู้กุมกำลังหลักของพรรคชาติไทยในช่วงหลัง ทั้งสองคนนี้กับพลเอกชวลิต ก็ไม่ได้ห่างไกลกัน ยิ่งได้พลตรีมงคล อัมพรพิสิษฐ์ ทส. พลเอกเปรม ช่วยประสานทางบรรหารอีกแรงหนึ่ง ทุกอย่างก็ลงเอยอย่างง่ายดาย

พรรคชาติไทยเซ็นชื่อสนับสนุนให้พลเอกเปรมเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นพรรคแรก พร้อมกันนั้นก็จับมือกันเหนียวแน่นกับพรรคกิจสังคม จนทำให้พรรคประชาธิปัตย์เกือบกลายเป็นตัวตลก

พรรคราษฎรของพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ และพลเอกมานะ รัตนโกเศศนั้นแทบไม่ต้องกล่าวถึง

และแน่นอนที่สุด-ถ้าหากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นแค่พลเอกเปรมตัวคนเดียวไม่มีพลังระดับค้ำจุนเหมือนพลเอกสิทธิ จิรโรจน์แล้ว ย่อมไม่มีใครยอมสนับสนุนให้พลเอกเปรมเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.