เกียรติชัย บุญพร้อมสรรพ ไฝโปรดิวส์กับธุรกิจเสื้อฟ้า "เปรี้ยว"


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2529)



กลับสู่หน้าหลัก

การทำงานแบบ One Man Show ในวันนี้ยังใช้ได้สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีความเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับวัยรุ่นที่การตัดสินใจซื้อเกิดจากความพอใจมากกว่าเหตุผล...เกรียติชัย บุญพร้อมสรรพ หรือ "ไฝ" เข้าใจเรื่องนี้ เขาจึงมีโอกาสเกิดและเวียนว่ายอยู่ในธุรกิจสินค้าเกี่ยวกับวัยรุ่นด้วยการเริ่มจากเงินพันเมื่อวันวาน...เป็นเงินล้านในวันนี้

ขณะนี้ไฝอายุ 24 ปี เขาเคยเป็นเจ้าของร้านเสื้อ ALFAFA จำนวน 2 ร้านที่เดอะมอลล์ ขณะนี้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ไฝโปรดิวส์ และมีร้านบูติคอยู่ 2 ร้าน บนชั้น 2 และ 3 สยามเซ็นเตอร์ ขนาดประมาณห้องละ 30 ตร.ม. ซึ่งต้องเสียค่าเซ้งตกห้องละ 400,000-500,000 บาท มีโรงงานขนาดเล็กสำหรับตัดเย็บเสื้อผ้าที่มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อม ทั้งมีช่างประจำอีก 6 คน

ไฝไม่เคยเรียนดีไซน์ ไม่เคยเรียนตัดเสื้อผ้า ไม่เคยเรียนการตลาด ไฝมาจากครอบครัวคนจีนที่ไม่มีธุรกิจของตนเองมาก่อน แต่ไฝทำธุรกิจเกี่ยวกับวัยรุ่น เกี่ยวกับเสื้อผ้ามาเกือบ 5 ปีแล้ว ไฝทำทุกอย่างด้วยตัวเองมาโดยตลอด...

ครอบครัวของไฝก็เหมือนกับครอบครัวคนจีนทั่วไปที่นิยมการมีลูกมาก ไฝจึงมีน้องถึง 9 คน เมื่อตอนเรียนมัธยมไฝไม่จำเป็นต้องดิ้นรน เพราะพี่ ๆ หารายได้มาเลี้ยงครอบครัว มาถึงช่วงที่ไฝเรียนอยู่ธรรมศาสตร์ปี 1 พี่ ๆ แต่งงานและแยกครอบครัวออกไปถึง 4 คน รายได้ที่มาจุนเจือครอบครัวจึงลดน้อยลงไป

สถานการณ์ทางครอบครัวบีบบังคับให้ไฝต้องเริ่มหากินเลี้ยงชีพ

ไฝเป็นเด็กหนุ่มท่าทางกรีดกรายและสนใจเรื่องสวย ๆ งาม ๆ เป็นทุนอยู่แล้ว ประกอบกับสถานการณ์ทางครอบครัวช่วงนั้นบีบบังคับให้ไฝต้องจับตามองกระแสการทำมาหากินต่าง ๆ

ปี 2525 ไฝอายุได้ 19 กำลังเรียนนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ปี 1 ช่วงนั้นสินค้ากิฟช็อปกำลังบูม วัยรุ่นเมืองไทยเริ่มมีอุกรณ์ตกแต่งร่างกายและของใช้ที่เป็นลักษณะเฉพาะที่เก๋ไก๋มากขึ้น ไม่ใช่ยุคแห่งแบบฟอร์มหรือเสื้อยืดกางเกงยีนส์ตัวเดียวอีกต่อไปแล้ว กระแสวัฒนธรรมลักษณะนี้จากต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามามากมาย โดยเฉพาะลักษณะที่เป็นแบบญี่ปุ่น "ไฝ" จับกระแสนี้ได้ทันที

"ช่วงนั้นไฝรู้สึกว่ากิฟช็อปกำลังบูมคือสังเกตจากพวกกระเป๋า เข็มขัด เห็นเขาคาดกันเป็นของญี่ปุ่น ไฝเลยคิดทำขึ้น โดยไม่ได้เลียนแบบเขา แต่ว่าทำเป็นแบบ HAND MADE ขายพวกนักศึกษาในธรรมศาสตร์ด้วยกัน แล้วเขาก็บอกต่อ ๆ กันไป"

เงินทุนแรกเริ่มที่มีไฝได้จากการขายสินค้าถูกจังหวะเวลาบวกกับการใช้ปากเป็น

ปี 2525 เสื้อยืดที่มีตราสัตว์ติดหน้าอกเป็นที่นิยมกันมาก ไฝเกิดด้วยการขายเสื้อยืดในงานออกร้านขายสินค้าในธรรมศาสตร์งานหนึ่ง

"ไฝเอาเสื้อยืดตราจระเข้ของอามาขายตอนจะเอามาขายยังไม่มีที่เลย ไม่รู้จะไปวางตรงไหน ก็ไปขอกับผู้จัดการสหกรณ์ไปพูดกับเขาดี ๆ บอกเราเป็นนักศึกษายังเรียนอยู่อยากหารายได้พิเศษ เขาก็ให้ที่วางขาย เป็นแค่โต๊ะเล็ก ๆ ตัวเดียวเท่านั้นก็เอาเสื้อไปวางขายได้"

จากการขายเสื้อครั้งแรกไฝได้กำไรพันกว่าบาท

สถานการณ์ในธรรมศาสตร์เมื่อ 3-4 ปีก่อนนั้นมีส่วนช่วยเสริมสร้างโอกาสให้ไฝมาก ช่วงนั้นมีงานออกร้านบ่อย ไม่ว่าจะเป็นงานแสดงนิทรรศการ งานครบรอบ 50 ปี ฯลฯ และไฝก็ไม่เคยพลาดโอกาสร่วมออกร้านแม้สักครั้งเดียว โดยสินค้าที่นำไปขายก็เป็นสินค้าที่เขาทำขึ้นเอง

นอกจากจะนำสินค้าที่ทำเองออกขายในงานออกร้านตามแต่โอกาสแล้ว ไฝยังไปฝากขายตามร้านกิฟช็อป เช่น ร้านเม็ดทราย ร้านแมงมุม เมื่อฝากขายได้สักพักไฝก็เริ่มคิดได้ว่า การถูกหักค่าฝากขายถึง 30% นั้นมากเกินไป...ไฝเริ่มคิดงานใหญ่ขึ้น

ปี 2526 สินค้าที่เป็นกิฟช็อปน่ารัก ๆ เริ่มซาลง แต่สินค้าที่เป็นแฟชั่น เป็นบูติคเริ่มแรงขึ้น ช่วงนั้นไฝไม่อยากเสียค่าฝากขายจำนวนมาก และเริ่มมีเงินทุนจากการออกร้านขายสินค้าในธรรมศาสตร์มากขึ้น ประกอบกับจับกระแสเครื่องประดับที่ใช้กับแฟชั่นได้ ไฝจึงก้าวอีกก้าวด้วยการขายส่งสำเพ็ง

"ที่ทำส่งสำเพ็งเป็นพวกเข็มขัด กระเป๋า ต่างหู เป็นของที่ใช้กับเสื้อผ้าแฟชั่น ไม่ใช่ของน่ารัก ๆ อีกต่อไป ตอนนั้นเสื้อผ้าบนสยามเซ็นเตอร์กำลังดัง เด็กจะบ้าเสื้อผ้าบนสยาม เด็กตอนนั้นถ้าจะแต่งก็จะแต่งทั้งตัวตั้งแต่เสื้อผ้า กระเป๋า เข็มขัด แนวความคิดของไฝ คือถ้ามีเสื้อผ้าแล้วจะหาเข็มขัด เข็มขัดนั้นต้องทำให้เสื้อผ้าดูเก๋ขึ้น พอทำปุ๊บตลาดก็ยอมรับ"

ปี 2527 รายได้จากการขายของส่งสำเพ็งกับรายได้จากการออกร้านของไฝเป็นกอบเป็นกำขึ้น ช่วงนั้นตลาดบูติคบูมมากและเดอะมอลล์ก็เป็นแหล่งบูติคอีกแห่งย่านราชดำริที่น่าลงทุน เพราะวันหนึ่ง ๆ มีคนเดินช็อปปิ้งเป็นแสน ไฝคิดว่าตัวเองต้องเสี่ยง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านออกแบบเสื้อผ้ามาก่อนเลยเพียงแต่เคยตัดกระโปรงขายนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ และมีน้องชายที่เรียนตัดเสื้อมาบ้าง ไฝก็ตัดสินใจเซ้งร้านที่เดอะมอลล์ 2 ร้าน ใช้ชื่อร้าน ALFAFA และใช้เป็นชื่อยี่ห้อด้วย เพราะช่วงนั้นเขานิยมเสื้อผ้าที่มียี่ห้อตัวใหญ่ ๆ

"ช่วงนั้นไฝเป็นคนออกแบบ น้องเป็นคนตัด ฝ่ายผลิตก็ทำกันที่บ้านแม่ช่วยหาคนเย็บให้ เพื่อน ๆ บ้านมาทำกัน ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก จะมีก็ค่าผ้า ค่าเครื่องจักรเย็บก็ยังไม่ต้อง ตัดแล้วให้เขาไปเย็บที่บ้าน ตอนนั้นร้านบูติคมีไม่มากเหมือนทุกวันนี้ เปิดแล้วเห็นเงินทุกวัน"

ปลายปี 2527 ไฝเริ่มได้เครดิตจากร้านผ้าแถวสำเพ็ง เริ่มเป็นที่รู้จักในวงการแฟชั่น มีเงินเก็บก้อนใหญ่ขึ้น มีความมั่นใจในการประกอบธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาตลอด ไฝตัดสินใจเซ้งร้านที่สยามเซ็นเตอร์ชั้น 2 เนื้อที่ประมาณ 30 ตร.ม.จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ใช้ชื่อไฝโปรดิวส์ และเมื่อเดอะมอลล์จะปรับปรุงกิจการใหม่ ไฝจึงยุบร้านที่เดอะมอลล์เมื่อปลายปี 28 พอต้นปี 2529 ไฝก็เปิดร้านที่ชั้น 3 อีกร้านหนึ่ง...เมื่อย้ายมาอยู่สยามเซ็นเตอร์ไฝใช้กลยุทธ์การตลาดเต็มที่

ไฝไม่ได้มีพื้นฐานทางด้านการดีไซน์เสื้อผ้า หรือ MARKETING มาก่อน ไฝไม่รู้จักทฤษฎีแต่ใช้ SENSE และจับตามองความเคลื่อนไหวในโลกธุรกิจวัยรุ่นอยู่เสมอ

ในช่วงเปิดร้านที่สยามเซ็นเตอร์แรก ๆ บูติคมียี่ห้อตัวใหญ่ ๆ ไฝตัดสินใจใช้ชื่อไฝ โปรดิวส์ เป็นชื่อผลิตภัณฑ์ของตน และไม่ลืมที่จะวาง SEGMENT ของเสื้อผ้าให้เป็นเสื้อของผู้หญิง "เปรี้ยว" แยกผลิตภัณฑ์ของเขาให้แตกต่างจากร้านบูติคอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

การโฆษณาและส่งเสริมการขายไฝทำเต็มที่ ทั้งในหน้านิตยสารผู้หญิงต่าง ๆ และการเข้าร่วมงานแฟชั่นโชว์ทุกครั้งที่มีโอกาสไฝเองยังเคยบอกว่า แฟชั่นของเขามันบ้าดี

สำหรับการบริหารไฝใช้ ONE MAN SHOW ตัดสินใจด้วยตนเองมาโดยตลอดไฝทำเกือบทุกอย่างด้วยตนเอง ออกแบบแฟชั่น ออกแบบถุง วางแผนโปรโมชั่น ดูและการผลิต และบางวันถ้าใครไปที่ร้านจะเห็นเด็กหนุ่มอารมณ์ดีมีไฝเม็ดใหญ่บนใบหน้านั่งติดกระดุมเสื้ออยู่ที่ร้าน หรือไม่ก็กำลังง่วนอยู่กับการเอาเสื้อใสถุงให้ลูกค้าจะมีคนช่วยก็เป็นน้องชายชื่อสมเกียรติช่วยตัดและสร้างแบบเสื้อ และมาในระยะหลังนี้น้องสาวชื่อมาลีมาช่วยดูร้านให้อีกคนหนึ่ง

เงินลงทุนของไฝในแต่ละครั้งที่ได้มาก็เป็นเงินเก็บจากการทำธุรกิจในแต่ละช่วงไฝไม่เคยใช้บริการธนาคาร อาศัยว่าธุรกิจของไฝเงินหมุนเวียนเร็วมากและกำไรก็ได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะการลงทุนของไฝในแต่ละช่วงได้จังหวะเวลาบูมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกิ๊ฟช้อป กระเป๋าเข็มขัดแฟชั่น บูติค

ถึงวันนี้ไฝทำธุรกิจเกี่ยวกับวัยรุ่นมาได้ 4 ปีกว่าแล้ว มีร้านเสื้อเป็นของตนเอง 2 ร้าน มีโรงงานขนาดย่อมที่มีเครื่องมือเครื่องจักอยู่ที่บ้านพร้อม มีทรัพย์สินเป็นล้านๆ บาทแล้ว

"ไฝทำสินค้าออกมามันต้องแปลกกว่าคนอื่น พยายามคิดเสมอว่าเราทำสินค้าแฟชั่นออกมา สินค้านั้นจะต้องไม่เหมือนคนอื่น ต้องเป็นผู้ริเริ่ม สินค้าจะขายง่ายขึ้น" ไฝบอกถึงเคล็ดลับการทำสินค้าแฟชั่น

ไฝก็เหมือนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ๆ ที่อ่านหนังสือมากมาย ไฝเคยบอกว่าอ่านเข้าไว้ อ่านให้มีความรู้มีข้อมูลอยู่ในหัวเยอะ ๆ ให้เรารู้อะไรหลาย ๆ อย่างแล้วเราจะมีไอเดียของเราขึ้นมา...หนังสือแฟชั่นไฝอ่าน VOGUE, BARZAR พวกนี้ติดตามแล้วเอามาปรับให้เข้ากับบ้านเรา"

การที่กิจการของไฝเติบโตและก้าวหน้ามาโดยตลอดทั้ง ๆ ที่ทำงานแบบ ONE MAN SHOW ก็เพราะธุรกิจเกี่ยวกับวัยรุ่นนี้การจับกระแสได้ถูกจังหวะ พร้อมกับการตัดสินใจผลิตสิ่งใหม่ ๆ ออกมาให้เหมาะกับเวลา สามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วและคล่องตัวได้ก่อนใคร ๆ จะทำให้ผู้ประกอบการยืนอยู่ได้ ไฝทำอย่างนี้มาเกือบ 5 ปีแล้วและไฝก็คงจะรู้ดีว่าการจะมีโอกาสงาม ๆ เหมือนที่ผ่านมาคงจะยากแล้ว เพราะมีตัวแปรอีกหลายตัวที่เข้ามาและทำให้ธุรกิจของเขามีปัญหา

ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่แย่อยู่ในขณะนี้ ที่ไฝเองยอมรับว่ามันมีส่วนทำให้ยอดขายตกมา 6-7 เดือนแล้ว โดยไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้เพียงต้องประคองตัวให้ผ่านช่วงนี้ไป

และปัญหาที่ศูนย์อื่น ๆ มาแชร์ลูกค้าไป สยามเซ็นเตอร์ไม่ใช่ศูนย์แฟชั่นที่วัยรุ่นจะไปเดินเพียงแห่งเดียวอีกต่อไป ที่มาบุญครอง เซ็นทรัล ฯลฯ มาแชร์ผู้ซื้อไปเหมือนกัน

ตลาดบูติคระดับล่างเซาะตลาดระดับบนอยู่ตลอดเวลา บูติคราคาแพงถูกก๊อปปี้ขายราคาถูกลงเกลื่อนถนน เหล่านี้ทำให้ไฝต้องครุ่นคิดพอสมควร

นอกจากนี้การสต็อคผ้าในแต่ละครั้งมีมูลค่าเป็นแสนมีผลต่อระบบเงินหมุนเวียนด้วยเพราะเงินไปจมอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ร้านบูติคส่วนใหญ่ก็ต้องทำเพราะถ้าไม่สต๊อคผ้าไว้แล้วผ้าชนิดที่เก็งไว้เกิดเป็นที่นิยมขึ้นมาจะไปหาซื้อก็ไม่ได้ เพราะร้านอื่น ๆ เขาซื้อไปหมด จะเสียโอกาสทำกำไร เรื่องการสต็อคผ้าจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไฝต้องเสี่ยง

การดำเนินกิจการของไฝออกจะเครียดพอสมควร เมื่อมีเวลาไฝจะไปดิสโก้เป็นประจำที่ซุปเปอร์สตาร์หรือเดอะพาเลซหรือถ้ามีเวลาก็ขับรถไปพัทยา และไฝก็ไม่เคยพลาดเมื่อมีการกินโต๊ะแชร์กับคนระดับบิ๊กในวงการแฟชั่นเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับคนในวงการ

ในชีวิตประจำวันตอนเช้าไฝจะอยู่ดูแลการตัดเย็บที่บ้านซึ่งตอนนี้กลายเป็นโรงงานขนาดเล็กไปแล้ว ถ้าวันไหนมีเรียนที่ธรรมศาสตร์ไฝก็จะไป และจะใช้เวลาช่วงบ่ายจนถึงค่ำนั่งอยู่ที่ร้าน

ทุกครั้งที่ไฝพัฒนากิจการของตนเองไปสู่งานใหม่ ไฝทำได้ถูกจังหวะเวลา สถานที่ และมีความเป็น INNOVATOR ที่คิดทำสินค้าที่ไม่เหมือนใคร ทำก่อนใครมาโดยตลอด โดยไม่มีใครช่วย แต่ในวันนี้ไฝอาจจะมีปัญหาว่าจะเดินต่อไปทางไหนดี จะต้องบุกเบิกไปทางไหนอีก จะพัฒนาระบบการจัดการด้านการเงินอย่างไรจากการใช้ระบบเงินหมุนอย่างทุกวันนี้ หรือจะต้องร่วมงานกับคนอื่น....แต่ที่แน่ ๆ "ผู้จัดการ" คิดว่าถ้าไฝยังจะอยู่ในธุรกิจวัยรุ่นต่อไปไฝหยุดนิ่งไม่ได้แน่

"ไฝยังไม่เบื่อธุรกิจแฟชั่นหรอกเพียงแต่เห็นสภาพเศรษฐกิจที่ทำให้ยอดขายตกลง ไฝเลยคิดว่าต้องหาทางทำอย่างอื่นเพื่อหนีสภาพนี้...อาจร่วมกับคนอื่นทำอะไรที่มันได้ผลตอบแทนมากกว่านี้ ซึ่งตอนนี้กำลังจับตามองอยู่" ไฝกล่าวปิดท้าย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.