เชื่อมั่นเศรษฐกิจขยายตัว


นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( สิงหาคม 2554)



กลับสู่หน้าหลัก

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนมิถุนายน 2554 ยังสะท้อนทิศทางการขยายตัวในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาณการฟื้นตัวของเครื่องชี้ในส่วนที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ทยอยปรากฏขึ้นหลังปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนคลี่คลายลงตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ภาพบวกของการฟื้นกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของไทยและภาพการเมืองในประเทศมีความชัดเจนขึ้นหลังการเลือกตั้ง น่าจะเป็นบรรยากาศที่เอื้อให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 สามารถขยายตัวได้สูงขึ้นมาอยู่ในกรอบประมาณร้อยละ 4.0-5.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) แม้ว่าเศรษฐกิจไทยอาจต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทายมากขึ้น ทั้งจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก (วิกฤติด้านการคลังสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน) และจากแรงกดดันของความเสี่ยงเงินเฟ้อและการปรับสูงขึ้นของต้นทุนการผลิตสำหรับผู้บริโภคและผู้ประกอบการในประเทศ

การทยอยฟื้นกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา ช่วยทำให้ภาพรวม ของเครื่องชี้ด้านการผลิตและปริมาณการจำหน่ายยานยนต์เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นในเดือนมิถุนายน 2554 ขณะที่บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ (ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน) ก็ได้รับแรงหนุนบางส่วนจากเม็ดเงินสะพัดในช่วงก่อนการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554 และจากทิศทางของราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ (ยกเว้นดีเซล) ที่ปรับตัวลงในกรอบร้อยละ 1.2-1.6 ในระหว่างเดือน

การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน เร่งตัวขึ้นถึงร้อยละ 7.5 จากเดือนก่อน (MoM) ตามการฟื้นตัวของกำลังการ ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ และเบียร์ เพื่อรองรับอุปสงค์ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับปีก่อน การผลิตภาคอุตสาหกรรมพลิกกลับมาขยายตัวร้อยละ 3.3 (YoY) หลังจากที่หดตัวในช่วง 4 เดือนก่อนหน้า

ทั้งนี้ การผลิตในหมวดอุตสาหกรรมที่เน้นเพื่อการส่งออก พลิกกลับมาขยายตัวได้อย่างโดดเด่นในเดือนมิถุนายน (+6.2% YoY) หลังจากที่หดตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม นำโดยการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟเพื่อชดเชยระดับสินค้าคงคลังที่ลดลง ตลอดจนการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและหลอดอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังคงได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ หมวดอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกก็มีทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน นำโดยการผลิตยานยนต์ที่หดตัวในอัตราที่น้อยลงค่อนข้างมาก (-2.8% YoY ในเดือนมิถุนายน จาก -32.5% YoY ในเดือนพฤษภาคม) หลังจากที่ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ทยอยคลี่คลายลงตั้งแต่ในช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา

การบริโภคภาคเอกชนเดือนมิถุนายนทรงตัวเท่ากับระดับในเดือนก่อนหน้า (MoM) แต่ฐานการคำนวณเปรียบเทียบในเดือน มิถุนายน 2553 ที่ค่อนข้างสูง ทำให้การบริโภคขยายตัวในอัตราที่ ชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) จากร้อยละ 5.1 (YoY) ในเดือนพฤษภาคม

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าเครื่องชี้ การบริโภคภาคเอกชนหลายรายการยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง อาทิ ปริมาณการใช้เชื้อเพลิง (+5.6% YoY) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (+12.0% YoY) และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค (+4.2% YoY) ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายยานยนต์ก็สามารถพลิกจากที่ต้องเผชิญภาวะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปีในเดือนพฤษภาคมมาขยายตัวอีกครั้ง (+4.6% YoY) ในเดือนมิถุนายน ตามทิศทางที่ดีขึ้นของการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์

การลงทุนภาคเอกชนเดือนมิถุนายนหดตัวลงร้อยละ 2.6 จากเดือนก่อน (MoM) และขยายตัวชะลอลงมาที่ร้อยละ 7.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) เทียบกับร้อยละ 11.4 (YoY) ในเดือนพฤษภาคม

ทั้งนี้ แม้เครื่องชี้การลงทุนในภาพรวมจะเติบโตในอัตราที่ชะลอลงตามทิศทางการนำเข้าสินค้าทุนที่เร่งตัวไปค่อนข้างมาก แล้วในช่วงหลายเดือนก่อนหน้า แต่เครื่องชี้การลงทุนในรายการอื่นในเดือนมิถุนายน อาทิ พื้นที่รับอนุญาตในเขตเทศบาล (+4.6% YoY) และปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ (+3.7% YoY) ยังคงขยายตัวได้ใกล้เคียงหรือสูงกว่าในเดือนพฤษภาคม ขณะที่ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ก็หดตัวในอัตราที่ชะลอลง (-0.3% YoY)

แม้ว่าทิศทางเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นแกนหลักของโลกจะเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนมากขึ้นในช่วงระหว่างไตรมาสที่ 2/2554 (ทั้งจากวิกฤติด้านการคลัง/หนี้สาธารณะในสหรัฐฯ และยูโรโซน และจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่มีภาพที่ชัดเจนขึ้นในภูมิภาคเอเชีย ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินเชิงคุมเข้มอย่างต่อเนื่อง) อย่างไรก็ดี ภาพรวมของการส่งออกของไทยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ยังคงรักษาโมเมนตัมการขยายตัวในระดับที่ดีกว่าที่คาดไว้ได้

มูลค่าการส่งออกพลิกจากที่หดตัวในเดือนพฤษภาคมมาขยายตัวร้อยละ 3.8 (MoM) ในเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ตาม ฐานการคำนวณเปรียบเทียบที่สูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้อัตราการขยายตัวของการส่งออกในเดือนมิถุนายนชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 16.4 (YoY) จากร้อยละ 17.3 (YoY) ในเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ การส่งออกยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องในเกือบทุกหมวด (โดยเฉพาะสินค้าเกษตร) ยกเว้นสินค้าส่งออกที่เน้นใช้แรงงานที่ยังคงหดตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง

ส่วนด้านมูลค่าการนำเข้านั้นให้ภาพที่ตรงกันข้ามกับการส่งออก การนำเข้าหดตัวลงจากเดือนก่อนหน้าร้อยละ 8.2 (MoM) และชะลอการขยายตัวมาอยู่ที่ร้อยละ 23.5 จากช่วงเดียวกับปีก่อน (YoY) เทียบกับที่เติบโตสูงถึงร้อยละ 34.4 (YoY) ในเดือนพฤษภาคม โดยผลส่วนหนึ่งเกิดจากปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบที่ลดลงค่อนข้างมาก ตามการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในระหว่างเดือน

ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการค้าบันทึกยอดเกินดุลพร้อมกันอีกครั้งในเดือนมิถุนายน มูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าค่อนข้างมาก สวนทางกับมูลค่าการนำเข้าที่ปรับลดลง ส่งผลให้ดุลการค้าบันทึกยอดเกินดุลเพิ่มขึ้นเป็น 1,885.5 ล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน จากที่เกินดุลเพียง 274.3 ล้านดอลลาร์ ในเดือนพฤษภาคม เมื่อรวมกับการที่ดุลบริการฯ พลิกมาบันทึกยอดเกินดุล 613.2 ล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดบันทึกยอดเกินดุลเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนในระดับที่สูงถึง 2,498.7 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่บันทึกยอดขาดดุลในช่วง 2 เดือนก่อนหน้าตามการส่งกลับรายจ่ายผลประโยชน์จากการลงทุนที่ค่อนข้างมากในช่วงเวลาดังกล่าว

แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยในหลายภาคส่วนจะเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่กดดันมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2/2554 ทั้งจากการพุ่งสูงขึ้นของแรงกดดันเงินเฟ้อและต้นทุนการผลิต ตลอดจนปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่การฟื้นกำลังการผลิตจากฝั่งญี่ปุ่นในระดับที่เร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ และเม็ดเงินสะพัดในช่วงก่อนการเลือกตั้ง น่าจะทำให้ระดับการชะลอตัวที่เกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2/2554 ของไทยอยู่ในขอบเขตที่ค่อนข้างจำกัด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 2/2554 อาจอยู่ในกรอบประมาณร้อยละ 0.5-0.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ,s.a.) หรือขยายตัวประมาณร้อยละ 3.5-3.9 เมื่อเทียบกับช่วง เดียวกับปีก่อน (YoY) ซึ่งดีขึ้นกว่าคาดการณ์เดิมร้อยละ 3.0-3.5 (YoY) ที่ประเมินไว้ในช่วงหลังเหตุพิบัติภัยในญี่ปุ่นเดือนมีนาคม

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า หากแรงเสียดทานทางการเมืองลดระดับลง หลังจากที่รัฐบาลชุดใหม่เข้าบริหารประเทศและสามารถผลักดันบางมาตรการ อาทิ นโยบายการปรับเพิ่มรายได้ผ่านการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรีและโครงการจำนำข้าว (ตลอดจนมาตรการตรึงราคาพลังงาน ทั้งน้ำมันดีเซลและก๊าซเอ็นจีวีที่ใกล้ครบกำหนดสิ้นสุดระยะของมาตรการ) ได้ทัน ภายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 ก็อาจช่วยบรรเทาแรงกดดันที่มีต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน และช่วยกระตุ้นให้การบริโภคของภาคเอกชนสามารถขยายตัวในกรอบที่สูงขึ้นกว่าร้อยละ 4.0 (YoY) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ซึ่งเป็นภาพด้านบวกที่ดีกว่าในช่วงครึ่งแรกของปีที่การบริโภคอาจขยายตัวได้ราวร้อยละ 3.0 (YoY)

นอกจากนี้การเร่งฟื้นกำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมของไทยจากภาวะที่หยุดชะงักไปในช่วงไตรมาส 2/2554 ก็น่าจะช่วยหักล้างผลกระทบจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีต่อภาคการส่งออกของไทยไปได้บ้างบางส่วน ซึ่งภาพด้านบวกทั้งหมดดังกล่าว เมื่อรวมกับปัจจัยฐานการคำนวณเปรียบเทียบที่มีระดับต่ำในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4.0-5.6 (YoY) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่ากรอบการขยายตัวร้อยละ 3.2-3.5 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 (ซึ่งทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ขยายตัวอยู่ในกรอบประมาณร้อยละ 3.5-4.5 โดยมีค่ากลางกรณีพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 4.0)

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนควรติดตาม ในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ได้แก่ สถานการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคของโลก (ทั้งในส่วนของแกนหลัก สหรัฐฯ และยุโรปที่กำลังเผชิญกับวิกฤตด้านการคลัง และภูมิภาคเอเชียที่ต้องคงขั้วนโยบายการเงินเป็นเชิงคุมเข้มเพื่อสกัดความเสี่ยงจากเงินเฟ้อต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก) ตลอดจนรายละเอียดที่ชัดเจนของมาตรการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อที่จะให้ผู้ประกอบการสามารถวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปภายใต้นโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ในระยะข้างหน้าด้วยเช่นกัน


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.