กิตติ หวั่งหลี "รวยที่สุด" ในตระกูลหวั่งหลี


นิตยสารผู้จัดการ( ธันวาคม 2529)



กลับสู่หน้าหลัก

กิตติ หวั่งหลี เป็นลูกชายของตันลิบบ๊วย เกิดจากภรรยาที่สองเป็นคนไทยชื่อแจ่ม

กิตติ เป็นลูกคนสุดท้อง ที่แม่รักมากที่สุด

ว่ากันว่าคุณนายแจ่มไม่พอใจที่ลูกชายคนโต - - ชลิต เนื่องจากมีภรรยาเป็นคนจีน จึงเป็นที่สันนิษฐานกันว่าเป็นสาเหตุที่ทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดของสายนี้ถึงตกทอดมาถึงกิตติเสียส่วนใหญ่

สำคัญที่สุดก็คือบ้านหวั่งหลี บนเนื้อที่เกือบ 30 ไร่ ที่ท่าน้ำวัดทองธรรมชาติ อันเป็นบ้านเก่าแก่ที่สุดหลังหนึ่งในประเทศไทย ตันลิบบ๊วยเป็นคนสร้างไม่ต่ำกว่า 50 ปีแล้ว

ในบรรดาทายาท GENERATION ที่ 3 ส่วนใหญ่ร่ำเรียนอย่างมากที่ฮ่องกง แต่กิตติเป็นคนเดียวที่บุกน้ำข้ามทะเลไปเรียนถึงอังกฤษ เป็นยุคแรก ๆ ที่คนไทยมีเงินเริ่มส่งลูกไปเรียนที่นั่น เขาเรียนจบรุ่นเดียวกับประจิตร ยศสุนทร ประธานกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ที่เบอร์มิงแฮม

แต่น่าเสียดายที่เขาเรียนจบมาแล้วกลับไม่ได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาทำประโยชน์เลย!

เขาเป็นช่างภาพที่เก่งมาก ๆ เขาก็หอบกล้องไลก้า เดินท่อม ๆ ไปทุกหนทุกแห่งดุจคนธรรมดาสามัญ โดยไม่แสดงตัวว่าเป็นคนร่ำรวยแต่อย่างใด บ่อยครั้งเขาสวมรองเท้าแตะ นั่งรถยนต์ญี่ปุ่นคันเล็ก ๆ

บทบาทในกลุ่มธุรกิจ กิตติเป็นเพียงกรรมการในบริษัทหวั่งหลี หวั่งหลีโฮลดิ้ง และนวกิจประกันภัย กรรมการที่มาประชุมในคราวประชุมใหญ่ แต่บ่อยครั้งเขาจะเดินเข้ามาในที่ทำงานของบริษัทต่าง ๆ เหล่านั้น ดุจเจ้าของกิจการ จะต้องมีคนมาแนะนำพนักงานใหม่ ๆ ให้รู้จัก และเมื่อเขาเข้าในสำนักงานคราใด พนักงานก็ต้องนั่งเกร็งกันพอประมาณ

กิตติได้มรดกเป็นที่ดินมากที่สุด ในย่านฝั่งธนฯ ย่านเติบโตของธุรกิจหวั่งหลีดั้งเดิม ย่านสุขุมวิทปากซอยนานา ติดกับศูนย์การค้าซิตี้แลนมาร์ค ย่านถนนสุรวงศ์ หากจะนับรวมที่ดินก็คงไม่ถึง 100 ไร่ แต่ทว่าทำเลของที่ดินเหล่านี้ดีที่สุดเท่าที่หวั่งหลีและพูนผลมี

"ที่สำนักงานสมาคมการค้ามันสำปะหลัง ริมถนนสาธร ก็เป็นของเขา" คนในวงการบอกถึงเจ้าของตัวจริง เพราะที่ผ่านมารู้กันคร่าว ๆ ว่าเป็นของหวั่งหลี คนฟังก็นึกถึงสุกิจ หวั่งหลี ทุกคราไป เพราะเขาเป็นนายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังติดต่อกันหลายสมัย

เพราะความเป็นคนเก็บตัวมาก ๆ จึงไม่ใคร่มีใครรู้จัก แต่หากใครจะคิดจะเช่าที่ดินของเขาก็ต้องรู้จักเขามิฉะนั้นจะมีปัญหา ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ที่ร้านอาหาร "เธอ" บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เมื่อกิจการไม่ใคร่จะดี เจ้าของต้องการจะให้พิซซ่าฮัทมาเช่าต่อ มร. เฮนเนคดี แห่งกลุ่มไมเนอร์โฮลดิ้ง เจ้าของพิซซ่าเห็นว่าทำเลดีจึงเข้าไปเช่าต่อทันที

วันหนึ่ง ชายค่อนชีวิตคนหนึ่งแต่งกายธรรมดาเรียบง่ายเข้าไปในร้านพิซซ่าฮัท ชายชราคนนี้แปลกใจอย่างมากว่าเกิดอะไรกับร้าน "เธอ" จึงกลายมาเป็นพิซซ่าฮัท เขาเรียกพนักงานพิซซ่าฮัทมาแจ้งความจำนงต้องการพบผู้จัดการ เฮนเนคดีจึงได้ไปพบ

"ทำไมคุณถึงเข้ามาอยู่ที่นี่ได้" ประโยคแรกที่ กิตติ หวั่งหลี ถามเฮนเนคดี

ด้วยที่เฮนเนคดีไม่ทราบว่าคือ กิตติ หวั่งหลี และเจ้าของที่ดินที่ตั้งร้านพิซซ่าฮัทของเขา การสนทนาจึงออกไม่สบอารมณ์กิตติ ปรากฏในเวลาต่อมาว่า พิซซ่าฮัทต้องย้ายออกที่ตรงนั้น แม้ว่าเฮนเนคดีจะถือได้ว่ารู้จักคบค้าทางการค้ากับหวั่งหลีเป็นเวลานาน กับGENERATION ที่ 4 แต่พวกเขาเหล่านั้นช่วยอะไรไม่ได้ แม้แต่สุวิทย์ หวั่งหลี เอง

วันนี้ กิตติ หวั่งหลี ก็ยังเป็นคนลึกลับเหมือนเดิม ทายาทของเขาที่สืบทอดมรดกต่อจากเขาคือ ชลันต์ หวั่งหลี บุคลิกดูไม่ต่างผู้เป็นพ่อเท่าใด ปัจจุบันเขาคือเจ้าของบ้านหวั่งหลีที่ตกทอดเป็นทอด ๆ มา

เรื่องของกิตติ และชีวิตของเขา หากถาม ทำนุ และธรรมนูญ หวั่งหลี จะไม่ได้คำตอบอะไรเลย!



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.