|
แรงงาน"อาหารแช่แข็ง"ขาด พี.เอฟ.พี.-พรานทะเลลุยครึ่งหลัง
ASTV ผู้จัดการรายวัน(27 พฤษภาคม 2554)
กลับสู่หน้าหลัก
พี.เอฟ.พี จี้รัฐบาลใหม่จัดระเบียบแรงงานให้ชัดเจน หลังพบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ส่งผลต่อการผลิต เผยเลื่อนแผนลงทุนในอินโดนีเซียไปเป็นปีหน้า เหตุได้ทำเลใหม่ มั่นใจสิ้นปีรายได้ทะลุ 4,100 ล้านบาทตามเป้าที่วางไว้ ฟากพรานทะเล พร้อมรีแบรนด์ดิ้ง “พรานทะเลซูริ” หวังดันรายได้ทั้งปีสู่ 1,400 ล้านบาท
นายทวี ปิยะพัฒนา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท แปซิฟิคแปรรูปสัตว์น้ำ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปจากปลาทะเลแช่แข็ง แบรนด์ พี.เอฟ.พี เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้พบว่าไทยกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในทุกอุตสาหกรรม คิดเป็นตัวเลขราว 1 ล้านคน จากตัวเลขของทางประกันสังคมที่มีขึ้นทะเบียนแรงงานเพียง 9 ล้านคนทั่วประเทศเท่านั้น แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมทั้งสิ้น
สำหรับพี.เอฟ.พี. เองนั้น ก็มีปัญหาขาดแคลนแรงงานเช่นเดียวกัน โดยยังขาดอยู่กว่า 200 คน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการบริหารจัดการหรือนำเอาเครื่องจักรเข้ามาช่วยแล้วก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ยอดผลิตสินค้าต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ราว 20% เป็นอย่างน้อย เพราะขาดแรงงานเป็นส่วนสำคัญ ดังนั้นจึงต้องการให้ทางรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ได้มีการจัดระเบียบแรงงานให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงค่าแรงควรพิจารณาอย่างมีระบบ จัดระเบียนแรงงานให้ถูกกฏหมาย
นายทวี กล่าวต่อว่า สำหรับพี.เอฟ.พี ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ 4,100 ล้านบาท เติบโตขึ้น 15% แบ่งออกเป็นตลาดต่างประเทศ 2,200 ล้านบาท และตลาดในประเทศ 1,900 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ แม้ว่าในช่วงไตรมาสสองจะต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย แต่พอเข้าสู่ไตรมาสสามก็เริ่มกลับมาดีขึ้น
สำหรับตลาดในประเทศมูลค่า 1,900 ล้านบาทนั้น มาจาก 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก คือ สินค้าอาหารแช่แข็งนำเข้าจากต่างประเทศ 500 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์พีเอฟพี 1,400 ล้านบาท เติบโตขึ้น20% มาจากการเติบโตของกลุ่มสินค้าพร้อมทาน โดยการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และการขยาย พีเอฟพีชอป โดยปีนี้จะมีรายการสินค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 100 รายการ และมีการเพิ่มจำนวนคีออสมากขึ้น รวมถึงการพัฒนา สุกี้บาร์ อีกส่วนหนึ่งด้วย
โดยในปีนี้บริษัทเตรียมงบการตลาดไว้กว่า 100 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกิจกรรมการตลาด 70% และโฆษณาอีก 30% เน้นกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์และปรับโฉมผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม
ส่วนตลาดต่างประเทศ มูลค่า 2,200 ล้านบาท มาจากกลุ่มสินค้าซูริมิ 700 ล้านบาท กลุ่มสินค้าพีเอฟพี 1,500 ล้านบาท เชื่อว่าจะมียอดขายตามเป้า ถึงแม้ว่า ตลาดหลักซูริมิที่ส่งไปยังญี่ปุ่นในสัดส่วนกว่า 40% จะประสบปัญหาภัยพิบัติขึ้น และทำให้ยอดขายหายไป 20% ก็ตาม แต่ก็ได้ตลาดอื่นทดแทน คือ จีน และมาเลเซีย
อย่างไรก็ตามสำหรับความคืบหน้าการลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ในประเทศอินโดนีเซีย ที่จะร่วมกับทางนักลงทุนท้องถิ่น ในการจัดตั้งโรงงานผลิตซูริมินั้น คาดว่าจะเลื่อนออกไปเป็นปีหน้าแทน เนื่องจากได้มีการเลือกสถานที่จัดสร้างโรงงานใหม่ ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาพูดคุยหาข้อสรุปกันอยู่
***พรานทะเล รีแบรนด์ดิ้ง “พรานทะเลซูชิ” ***
นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการตลาดและฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า ครึ่งปีแรกบริษัทฯ ชูกลยุทธ์การเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่นวัตกรรมใหม่ๆ โดยเน้นไปที่กลุ่มสินค้าพร้อมทาน คือ เมนูข้าวต้มพรานทะเลแพ็กเกจใหม่ลดโลกร้อน ซึ่งเป็นเมนูที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่งของพรานทะเลอยู่แล้วร่วมกับการกระจายสินค้าไปยัง Modern Trade ต่างๆอย่างทั่วถึง จัดโปรโมชั่น ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมียอดขายรวมกว่า 600 ล้านบาท
สำหรับช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นไปที่สินค้า 3 กลุ่มหลักคือ สินค้าพร้อมปรุง สินค้าพร้อมทาน และ ซูชิ แต่จะโฟกัสที่สินค้ากลุ่มซูชิมากขึ้น จากเดิมที่พรานทะเลเป็นผู้ผลิตซูชิให้กับโมเดิร์นเทรดภายใต้แบรนด์ที่แตกต่างกัน ทั้ง Hideko, Kai-ou, Yuri และ I love Sushi ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน จึงได้ทำการปรับกลยุทธ์ใหม่
โดยการรีแบรนด์ดิ้งเป็น “พรานทะเลซูชิ” แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. พรานทะเลซูชิแพลทตินั่ม เป็นซูชิระดับพรีเมี่ยม ราคาประมาณ 139-239 บาทต่อเซท 2. พรานทะเลซูชิโกลด์ ปรับขนาดและราคาลงมาเล็กน้อย ประมาณ 49-99 บาทต่อเซท 3. พรานทะเลซูชิฟิวส์ชั่น ราคา ประมาณ 7 และ10 บาท
บริษัทฯมั่นใจว่าจาก 3 กลยุทธ์หลักคือ นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะทำให้ครึ่งปีหลังคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นอีก 800 ล้านบาท ทำให้ยอดขายในปี 2554 เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 1,400 ล้านบาท
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|