สยามกัมมาจลกับสยามซิตี้แบงก์ 67 ปีในอดีตเหมือนความฝันวันวาน


นิตยสารผู้จัดการ( กุมภาพันธ์ 2530)



กลับสู่หน้าหลัก

คำตอบในปัจจุบันสำหรับบางคำถาม หาได้จากอดีต บางทีเรื่องมากมายในปัจจุบันที่ทำเอาวุ่นวายสับสน เมื่อย้อนอดีตแล้วก็พอจะมองภาพกระจะ ๆ บางภาพได้

ดังจะเล่าเรื่องแบงก์สยามกัมมาจล ในปี 2543 ที่หลายคนลืมและไม่เคยได้ยินมาก่อนตรงนี้

แบงก์สยามกัมมาจล ตั้งขึ้นเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2450 มีทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท โดยกลุ่มราชวงศ์ถือหุ้นประมาณ 50% ชาวจีน (รวมทั้งชาวจีนซึ่งมีบรรดาศักดิ์) ประมาณ 35% ที่เหลือกลุ่มธนาคารเดนมาร์คและเยอรมัน แต่การบริหารงานธนาคารส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของฝรั่ง ส่วนคนจีน ฉลอง ไนยนารถ (ยู่เซ็งเฮง) เป็นผู้จัดการสาขาราชวงศ์

กลุ่มคนจีนเหล่านี้ซึ่งส่วนใหญ่มีกิจการค้าข้าว โรงสีต่อมาได้ตั้งธนาคารของตนเอง ยู่เซ็งเฮงตั้งธนาคารยู่เซ็งเฮง ฮุนกิมฮวด (โกศล ฮุนตระกูล พ่อสมหมาย ฮุนตระกูล) ตั้งธนาคารบางกอกซิตี้แบงก์

ความจริงกลุ่มคนจีนเหล่านี้มีโยงใยทางการค้าเหมือนกลุ่มเดียวกัน แม้แต่ธนาคารทั้งสองแห่งก็ถือหุ้นกันไปกันมา และได้รับพระบรมราชานุญาต

ปี 2453 ธนาคารบางกอกซิตี้ ที่ฮุนกิมฮวดเป็นผู้จัดการประสบวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพง การส่งออกข้าวลดฮวบ ยังผลให้ธนาคารนี้ซวนเซ คนแห่ถอนเงินเป็นการใหญ่ เมื่อเห็นท่าไม่ดีธนาคารยู่เซ็งเฮงก็เข้ามาอุ้ม จ่ายเงินคืนแก่ผู้ถอนคืน ต่อมาไม่นานธนาคาร 2 แห่งก็รวมกันตั้งเป็นธนาคารจีนสยาม

จากหนี้สินจำนวนมากที่ค้างอยู่ ประกอบกับธนาคารแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ล้ม ซึ่งเป็นธนาคารมีบทบาทเกี่ยวข้องกับการค้าของชาวจีนในไทยอย่างมาก อีกทั้งเศรษฐกิจตกต่ำอย่างต่อเนื่องและหนักหน่วงมากขึ้นทุกขณะ

ธนาคารสยามกัมมาจลโดยยู่เซ็งเฮง ผู้จัดการสาขาราชวงศ์ ได้นำเงินจำนวน 3,673,817 บาท เข้ามาอัดฉีดธนาคารจีนสยาม แต่ก็ไม่สามารถพยุงธนาคารดังกล่าวได้ จนต้องล้มไปในที่สุด

จะว่าไปแล้วธนาคารของชาวจีนก็คือ บริษัทครอบครัวชาวจีนนั่นเอง

ปรากฏต่อมาการที่สยามกัมมาจลเข้าช่วยธนาคารจีนสยามนอกจากจะเป็นเงินจำนวนมากแล้ว ธนาคารจีนสยามยังนำตั๋วเงินเก๊มาค้ำประกันไว้จำนวนมาก รวมแล้วลูกหนี้ที่ไม่อาจเรียกเก็บหนี้ได้มีจำนวนเงินถึง 5.3 ล้านบาท

การจะปล่อยให้ธนาคารสยามกัมมาจลนั้นล้มนั้นเป็นเรื่องเสียหายมากทางเศรษฐกิจ อีกทั้งจะเสียพระเกียรติยศ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ทรงเห็นว่าไม่อาจปล่อยให้ธนาคารสยามกัมมาจลล้มไปได้ กระทรวงพระคลังจึงมีคำสั่งลดทุนเหลือเพียง 10% หรือ 3 แสนบาท พร้อมทั้งเพิ่มทุนทันทีอีก 3 ล้านบาท พระคลังข้างที่ซื้อหุ้นในส่วนของตน ส่วนกระทรวงพระคลังซื้อหุ้นทั้งหมดส่วนที่เหลือ ซึ่งชาวจีนดังกล่าวข้างต้นไม่มีปัญญาซื้อหุ้นเพิ่มอีกแล้ว

ความผิดทั้งหลายทั้งปวงตกอยู่กับ ยู่เซ็งเฮง (ฉลอง ไนยนารถ) กับนายเชย (พระสรรพการหิรัญกิจ) ซึ่งเป็นชาวจีนภายใต้พระบรมโพธิสมภารทั้งคู่ ทั้งสองต้องชดใช้ถูกทางการยึดทรัพย์จนหมดตัว ไม่ว่าบ้านและที่ดิน

ธนาคารสยามกัมมาจลต่อมาคือธนาคารไทยพาณิชย์ มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "SIAM COMMERCIAL BANK" คล้าย ๆ กับชื่อภาษาอังกฤษของธนาคารนครหลวงไทย ที่ว่า "SIAM CITY BANK" เสียด้วย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.