ผ่าอุปสรรคการส่งออกไทยปี 2528 มีแต่สุนทรพจน์ที่สวยหรูของ โกศล ไกรฤกษ์


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2528)



กลับสู่หน้าหลัก

ถ้าจะวัดกันว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจใดที่กำลังได้รับการให้ความสำคัญในเฉพาะหน้าที่อย่างยิ่งด้วยว่าเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะมีผลอย่างมากต่อความมั่งคั่งสมบูรณ์ และในทำนองกลับกันก็อาจจะเป็นสาเหตุใหญ่แห่งหายนะของชาติแล้ว

กิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้นก็คงจะต้องเป็นเรื่องการส่งออกไม่มีปัญหา

ในปี 2527 ที่ผ่านมา จึงเป็นปีที่มีการรณรงค์จัดสัมมนาเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้กันมากเป็นพิเศษ

และสำหรับธนาคารพาณิชย์ใหญ่บางแห่งก็ใช้การรณรงค์ส่งออกเป็นตัวแข่งขันกันอีกด้วย

เมื่อตอนกลางปี ธนาคารกรุงเทพ จัดชุมนุมกลุ่มผู้ส่งออกจำนวนเฉียดพัน และได้เชิญปลัดกระทรวงทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกมาชี้แจงนโยบายและแนวทางให้ฟัง

นับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งซึ่งก็ช่วยตอกย้ำว่า นโยบายสนับสนุนการส่งออกที่ธนาคารกรุงเทพประกาศว่า จะเป็นนโยบายใหญ่อันหนึ่งของตนนั้น ธนาคารกรุงเทพได้ให้ความสนใจและให้ความสำคัญอย่างโดดเด่นมาก

ถึงตอนปลายปี หลังการประกาศลดค่าเงินบาท และรัฐบาลกล่าวอย่างหนักแน่นว่า จะส่งผลในทางบวกต่อการส่งออก ก็ถึงบทที่ธนาคารกสิกรไทยจะต้องเล่นบ้าง

บทของกสิกรไทยคราวนี้เป็นการจัดสัมมนาใหญ่ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ มีกลุ่มผู้ส่งออกให้ความสนใจหนาแน่นไม่แพ้ครั้งที่ธนาคารกรุงเทพจัดเหมือนกัน นอกจากนี้ยังได้นำเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐหลายฝ่ายมาเป็นผู้บรรยาย

ส่วนทางภาคเอกชนก็มี คนของกสิกรไทยคือ ณรงค์ ศรีสอ้าน และตัวแทนของหอการค้าต่างประเทศ อันได้แก่ ประธานหอการค้าญี่ปุ่นหรือเจโทร (กรุงเทพฯ) ตัวแทนจากกลุ่มประชาคมร่วมยุโรป ตัวแทนหอการค้าสหรัฐอเมริกาและตัวแทนจากหอการค้าไทย เยอรมัน

พูดได้ว่าเกือบจะเป็นการนำตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อกงับการส่งออกทั้งกระบวนการมาร่วมกันถกปัญหาให้กลุ่มผู้ส่งออกฟังนั่นเอง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โกศล ไกรฤกษ์ ซึ่งมาเป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนากล่าวในสุนทรพจน์ตอนหนึ่งเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการจัดสัมมนาใหญ่ที่ห้องประชุมธนาคารกสิกรไทยครั้งนี้ว่า

"การลดค่าเงินบาทที่ผ่านมานั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความพยายามในการส่งเสริมการส่งออกเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่เอื้ออำนวยต่อการส่งออกซึ่งนอกเหนือจากราคาแล้วก็อย่างเช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก คุณภาพและความหลากหลายของสินค้า กลยุทธ์การตลาดและโครงสร้างพื้นฐานการส่งออกของบ้านเรา"

รัฐมนตรีโกศลกล่าวในเชิงชี้แนะว่า ปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญของการส่งออกในปี 2528 ก็คือ ทำอย่างไรจึงจะมีการแลกเปลี่ยนและการชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของโลก นโยบายการค้าและการนำเข้าของประเทศคู่ค้าสำคัญๆ

ส่วนในมาตรการระยะยาวก็คือ จะต้องปฏิรูปแนวนโยบายการส่งออกให้เป็นนโยบายของชาติ ตัวมาตรการหรือนโยบายใดที่ขัดต่อการส่งออกจะต้องได้รับการทบทวนแก้ไข ทางด้านการผลิตก็จะต้องเน้นการปรับปรุงเทคโนโลยีปรับปรุงการตลาด จะต้องทุ่มเทความสามารถในการวิจัยตลาด เจาะตลาดให้เหมาะกับความต้องของแต่ละตลาดๆ ไป

ก็คงต้องจัดให้เป็นสุนทรพจน์เปิดการสัมมนาที่กล่าวได้สวยหรูชิ้นหนึ่ง ซึ่งผู้เข้าสัมมนาหลายคนเห็นตรงกันว่า ถ้าจะสวยมากขึ้นก็คือได้มีการลงมือทำแล้วตามนั้น

ในการสัมมนารอบเช้ามีผู้บรรยายทั้งหมด 6 ท่านด้วยกันคือ ประยูร เถลิงศรี อธิบดีกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ สุคนธ์ กาญจนาลัย อธิบดีกรมพาณิชย์สัมพันธ์ สถาพร กวิตานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ไพจิตร โรจนวานิช รองปลัดกระทรวงการคลัง ณรงค์ ศรีสอ้าน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย และ เริงชัย มะระกานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย

เนื้อหาการบรรยายโดยสรุป ทุกคนล้วนมีความเห็นสอดคล้องกันว่า การค้าระหว่างประเทศของโลกในปี 2528 - 2529 ยังจะต้องประสบปัญหาแรงกดดันจากมาตรการกีดกันและปกป้องการนำเข้าต่อไปอีกปีหนึ่ง แม้ว่าสัญญาความร่วมมือหรือข้อตกลงต่างๆ และธนาคารโลกจะได้เพียรพยายามทำให้มาตรการเหล่านี้ลดน้อยลงก็จะไม่ช่วยให้เกิดผลมากเท่าไหร่

ในด้านการคาดคะเนภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศต่างๆ ตลอดจนพฤติกรรมทางการค้าระหว่างประเทศ ก็คาดกันว่า สหรัฐฯ จะมุ่งด้านสินค้าอุตสาหกรรม สินค้ากึ่งสำเร็จรูปที่ใช้เพื่อการผลิตต่อ เช่น เครื่องจักร เครื่องมือสื่อสารคมนาคม เครื่องไฟฟ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

ยุโรปตะวันตกจะเป็นตลาดสำหรับสินค้าเกษตร วัตถุดิบและอาหารต่อไป

ส่วนประเทศกำลังพัฒนาทั่วไปจะยังคงเป็นตลาดทั้งด้านสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเช่นเดิม เพียงแต่ความต้องการด้านการนำเข้าจะไม่เพิ่มมากและมีแนวโน้มในการใช้มาตรการกีดกันการนำเข้ามากขึ้น

หันกลับเข้ามาดูสภาพของไทยเราบ้าง

แนวโน้มการส่งออกในปี 2528 ของประเทศไทยนั้น ผู้บรรยายคนหนึ่ง คือ อธิบดีกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ ได้คาดหมายไว้ว่า คงสามารถส่งออกได้เป็นมูลค่าระหว่าง 190,000-200,000 ล้านบาท หากผลผลิตการเกษตรโดยเฉพาะข้าว และข้าวโพดได้ผลดี

เฉพาะสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร เขาคาดว่า จะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น 4.15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราเพิ่มที่ไม่สูงมากนัก เนื่องจากเชื่อกันว่า ผลิตผลการเกษตรตัวหนึ่งได้แก่ น้ำตาลนั้น ราคาในตลาดโลกจะยังคงตกต่ำอยู่ อีกทั้งราคาในประเทศสูงกว่า จึงไม่แรงจูงใจให้มีการส่งออกกัน

สินค้าทางด้านการประมง คาดว่าจะส่งออกเพื่อขึ้น 12.21 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งค่อนข้างสูง เพราะสามารถขยายตลาดต่อไปได้อีก โดยเฉพาะปลาหมึกและกุ้งสดแช่เย็น มีหลายประเทศสนใจสั่งซื้อเข้ามามาก

สินค้าแร่และเชื้อเพลิง อาจจะเพิ่มขึ้นถึง 20.46 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเป็นที่คาดหมายกันว่า จะสามารถส่งแก๊สธรรมชาติบางชนิดที่ไม่มีความต้องการใช้ในประเทศออกขายต่างประเทศได้

อุตสาหกรรมหลักดั้งเดิม เช่น เสื้อผ้า สิ่งทอและอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก เช่น แผงไฟฟ้า อัญมณี และเครื่องประดับ คาดว่าจะส่งออกได้เพิ่มขึ้น 28.50 เปอร์เซ็นต์

ส่วนสินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ทั้งที่เป็นสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม คาดว่า คงสามารถเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 19.78 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม แม้จะได้มีการคาดหมายว่าการส่งออกในปี 2528 จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นหลายรายการ แต่สำหรับการส่งออกรวมของไทยผู้อภิปรายต่างก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ยังไม่ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจและคลายใจ

โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งของไทย 4 ประเทศ คือ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งอธิบดีกรมพาณิชย์สัมพันธ์-สุคนธ์ กาญจนาลัย ตั้งฉายากลุ่มประเทศนี้ว่า "มังกรทั้ง 4"

การไม่ได้รับความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศ "มังกรทั้ง 4" ถ้าจะสรุปแล้วก็เชื่อกันว่า น่าจะมีที่มาจาก 3 สาเหตุด้วยกันคือ

1. นโยบายของรัฐบาล ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1-2 รัฐบาลมีนโยบายลดการนำเข้า การผลิตสินค้าจึงมุ่งตลาดในประเทศ ดังนั้น ขนาดการผลิตจึงไม่ขยายตัว และคุณภาพสินค้าถูกปล่อยไม่ได้มาตรฐานสากล แต่ในแผนพัฒนาฯฉบับที่ 3-4 การส่งเสริมอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกได้รับความสำคัญขึ้น แต่การกำหนดมาตรการยังไม่แน่ชัด รัฐบาลและเอกชนไม่ร่วมมือกัน และขณะนี้อยู่ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 5 ซึ่งเน้นการส่งออกเป็นสำคัญ แต่การดำเนินนโยบายของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกก็ยังประสบปัญหาอุปสรรคต่างๆ ฉะนั้นการกำหนดนโยบายด้านการค้าและด้านพัฒนาอุตสาหกรรมจำเป็นจะต้องสอดคล้องคู่กันไป

2. ด้านการผลิตเพื่อการส่งออก จะต้องพัฒนาคุณภาพสินค้าเพื่อการส่งออกให้ได้มาตรฐานการผลิตโดยใช้ระบบใบอนุญาต (Licensing) ญี่ปุ่นใช้ในการพัฒนาสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกได้ผลมาแล้ว ข้อดีของการใช้ระบบนี้คือ ช่วยให้การขยายตลาดทำได้ง่ายและเจ้าของ Licensing เป็นผู้หาตลาดให้ด้วย, เน้นการผลิตสินค้าคุณภาพสูง เพราะมีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด, มีตลาดรองรับที่กว้างขายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สามารถขยายการผลิตได้มาก เป็นผลให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง ปัจจุบันสินค้าสำเร็จรูปเครื่องกีฬา รองเท้าหันมานิยมใช้วิธี Licensing นี้มาก ซึ่งควรมีการสนับสนุนยิ่งขึ้น สินค้าไทยจะออกสู่ตลาดโลกสำเร็จต้องมีการพัฒนาการผลิตโดยนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับปรุงการผลิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต เช่น กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงวิทยาศาสตร์ต้องให้ความสนใจช่วยเหลือพัฒนาอย่างจริงจังด้วย

3. ด้านการตลาด ปัญหาที่ประเทศไทยเผชิญมากคือ การกีดกันทางการค้า ประเทศมหาอำนาจทางการค้า เช่น สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และแม้แต่ประชาคมยุโรปต่างก็กำหนดข้อจำกัดทางการค้าขึ้น ทั้งด้านภาษีศุลกากร (Tariff Barriers) และด้านที่มิใช่ภาษีศุลกากร (Non Tariff Barriers) ดังเช่นข้อจำกัดที่สหรัฐฯ พยายามทำในกรณีปลาทูน่ากระป๋องและสิ่งทอของไทย

จากสาเหตุใหญ่ๆ อย่างน้อย 3 สาเหตุนี้ผู้บรรยายได้ร่วมกันเสนอทางออกพร้อมไปด้วย

ซึ่งทางออกหรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาการส่งออกได้ถูกกำหนดว่า ควรจะต้องดำเนินการเป็นด้านๆ ไป ดังนี้

ด้านการผลิต ปัญหาที่พบเห็นกันอยู่ในอดีตและปัจจุบันก็คือ

1. ต้นทุนวัตถุดิบสูง เพราะความไม่สม่ำเสมอและความไม่เพียงพอของวัตถุดิบ โดยเฉพาะ วัตถุดิบการเกษตรที่ต้องใช้ เช่น สับปะรด อ้อย ปอ เมล็ดละหุ่ง จึงต้องควบคุมการผลิตเพื่อป้อนโรงงานให้เพียงพอ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ

ในการนำเข้าวัตถุดิบก็ทำให้ต้นทุนผลิตสูงสินค้าจำพวกนี้ได้แก่ ผ้าผืน ด้าย เส้นใย ผลิต

ภัณฑ์พลาสติก ดอกไม้ประดิษฐ์ ของเด็กเล่นส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ เครื่องเดินทางเสื้อผ้าสำเร็จรูป

ดังนั้น จึงต้องเร่งผลิตวัตถุดิบในประเทศให้เพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศโดย

กระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานส่งเสริมการลงทุนเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ

นอกจากนี้ในเรื่อง คุณภาพวัตถุดิบไม่ได้มาตรฐาน ทำให้สินค้ามีคุณภาพต่ำ ซึ่งได้แก่

ทองคำที่ใช้ทำตัวเรือน อัญมณีและเครื่องประดับเฟอร์นิเจอร์หวาย ก็จะต้องเร่งให้ดีได้วัตถุดิบคุณภาพดี ได้แก่ ทองคำแท่ง ไม้และหวายนำเข้าโดยกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ

2. ค่าใช้จ่ายในการผลิตสูง เป็นผลจากค่าไฟฟ้าและโครงสร้างภาษี ได้แก่ สินค้าผ้า ผืน ด้าย เส้นใย แนวทางแก้ไขต้องให้มีการลดค่าไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิตอุตสาหกรรมประเภทนี้และปรับโครงสร้างภาษีใหม่ เช่น ชดเชยภาษีสินค้าผลิตเพื่อการส่งออก โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ

3. รูปแบบการผลิตยังต้องพัฒนาและปรับปรุงให้สอดคล้องกับรสนิยมและการตลาดให้ มาก ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ ดอกไม้ประดิษฐ์ เครื่องใช้ทำด้วยไม้ เสื้อผ้าสำเร็จรูป จึงต้องหาข้อมูลการตลาดเฉพาะสินค้าตลอดจนแฟชั่น และอาจตั้งศูนย์ออกแบบขึ้นให้คำแนะนำแก่ผู้ผลิต ทั้งนี้กรมพาณิชยสัมพันธ์และสำนักงานที่ปรึกษาการพาณิชย์รับผิดชอบ

4. เทคนิคการผลิตยังไม่ได้มาตรฐานสากล ได้แก่ เครื่องใช้เดินทางและผลิตภัณฑ์ยาง และนั้นทางแก้ไขคือ ให้การสนับสนุนด้านการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยแก่ผู้ผลิต โดยกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และสมาคมอุตสาหกรรมไทยรับผิดชอบไป

ปัญหาด้านการตลาด

1. การแข่งขันในตลาดต่างประเทศสูงมาก ทั้งด้านราคา คุณภาพและรูปแบบ ได้แก่ รองเท้า ถุงมือ ถุงเท้า โครงสร้างและส่วนประกอบทำด้วยอะลูมิเนียม ท่อเหล็ก เครื่องใช้เดินทางผู้รับผิดชอบคือ กรมพาณิชยสัมพันธ์และสำนักงานที่ปรึกษาการพาณิชย์ดำเนินการหาทางแก้ไขสนับสนุนผู้ส่งออกบุกเข้าตลาดโดยตรง และให้ข้อมูลด้านตลาดและสินค้าของคู่แข่งขันสำคัญ

2. ขาดข้อมูลตลาดที่เพียงพอและทันเหตุการณ์ เช่น กระเบื้องปูพื้น, เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า, ผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งต้องแก้ไขโดยเร่งรัดหาข้อมูลตลาดอย่างละเอียดให้แก่ผู้ผลิต

3. การแข่งขันตัดราคาส่งออกระหว่างผู้ส่งออกภายในประเทศ ได้แก่ รองเท้า ดอกไม้ประดิษฐ์ แนวทางแก้ไขเรื่องนี้คือ ให้รวมกลุ่มผู้ผลิตโดยกระทรวงอุตสาหกรรมรับผิดชอบ

4. ข้อกีดกันในตลาดต่างประเทศเรื่องภาษีและนอกเหนือจากภาษี เช่น อาหารทะเล กระป๋อง, เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า, กระเบื้องปูพื้น, น้ำมันละหุ่ง ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศต้องจัดให้มีการเจรจากับประเทศที่มีข้อกีดกันทางการค้า

5. สินค้าไทยยังขาดความเชื่อถือในสายตาตลาดต่างประเทศ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางรอง เท้า ผลิตภัณฑ์พลาสติก เสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งต้องประชาสัมพันธ์สินค้าไทยและเชิญมาชมโรงงานผลิตในประเทศไทยเพื่อสร้างความเชื่อถือให้ผู้ซื้อในต่างประเทศ โดยกรมพาณิชยสัมพันธ์ร่วมกับสำนักงานที่ปรึกษากรมพาณิชย์ให้ความรับผิดชอบ

6. ปัญหาด้านการเงินในตลาดตะวันออกกลาง เนื่องจากผู้ซื้อพยายามหลีกเลี่ยงการชำระเงินโดยอาศัยรายละเอียดตามแอลซีเป็นข้ออ้าง ได้แก่ ผ้าผืน ด้าย แ ละเส้นใย กระจกเลนส์แว่นตา อุปกรณ์ก่อสร้างทำด้วยไม้และอะลูมิเนียม เครื่องใช้ไฟฟ้า จึงต้องเร่งรัดให้มีการประกันสินเชื่อเพื่อการส่งออกและประกันภัยด้านการส่งออกโดยกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบ

7. การตลาดขึ้นอยู่กับบริษัทแม่ โดยบริษัทแม่จะดำเนินการกำหนดด้านการตลาดให้ ด้วย เช่น แผงวงจรไฟฟ้า ตลับลูกปืน อิเล็กทรอนิกส์ กระจกเลนส์แว่นตา เอทิลแอลกอฮอล์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นผู้รับผิดชอบสนับสนุนให้มีการผลิตสินค้าดังกล่าวแบบครบวงจร

ปัญหาด้านสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก

1. มีการเรียกเก็บภาษีการค้าสำหรับสินค้าส่งออก ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับมีค่า ซึ่งผู้ซื้อเดินทางเข้าประเทศไทยและซื้อติดตัวออกไปจะถูกเรียกเก็บภาษีการค้าและเทศบาล ร้อยละ 3.3 ทั้งนี้ ต้องพิจารณายกเลิกการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว โดยให้รายการค้าดังกล่าวเป็นการส่งออกด้วยซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้รับผิดชอบ

2. การตรวจสอบคุณภาพให้ทันเวลาที่ผู้ส่งออกต้องการ ได้แก่ สินค้าอาหาร เช่น สับปะรดกระป๋อง อาหารทะเลกระป๋อง เส้นหมี่และก๋วยเตี๋ยว ผลิตภัณฑ์ยาง กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และสมาคมอุตสากรรมไทย เร่งรัดตั้งสถาบันตรวจสอบคุณภาพสินค้าเพื่อการส่งออกขึ้น

3. ความล้าช้าในการส่งออกเนื่องจากขั้นตอนการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ

- ความล่าข้าในการปล่อยเอกสาร ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า ตลับลูกปืนอิเล็กทรอนิกส์ จึงต้องเร่งปรับปรุงระบบการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ให้มีบรรยากาศเอื้อต่อการส่งออก เช่น เร่งให้มีการจัดระบบปล่อยเอกสารที่ใช้ประกอบการนำวัตถุดิบเข้ารวดเร็วทันการณ์ขึ้น

- ความล่าช้าด้านการจดทะเบียนตำรับยาได้แก่ ผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมจึงต้องเร่งรัดการออกไปจดทะเบียนตำรับยาเพื่อส่งออกได้ทันทีและทันต่อความต้องการของลูกค้ากับต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุขร่วมรับผิดชอบกับสมาคมที่เกี่ยวข้อง

- ความล่าช้าในการขอคืนภาษีตามมาตรา 19 ทวิ แม้ว่าจะลดเวลาการขอคืนได้ภายใน 1 เดือน สำหรับสินค้าบางรายการ เช่น ดอกไม้ประดิษฐ์ แต่ก็ยังมีอีกหลายรายการที่ประสบปัญหานี้อยู่

ในด้านสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกอื่นๆ ที่มิใช่กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ

กระทรวงอุตสาหกรรมนั้น สถาพร กวิตานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกล่าวโดยสรุปให้ฟังว่า

ขณะนี้บีโอไอพยายามดำเนินนโยบายที่จะส่งเสริมผู้ผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก (คือ

ผลผลิตร้อยละ 80 เพื่อการส่งออก) ทั้งได้ร่นระยะเวลาการพิจารณาให้การส่งเสริมและให้สิทธิประโยชน์จากเดิมที่เคยใช้เวลาพิจารณากลั่นกรองนานถึง 6-7 เดือน ก็จะเหลือเพียง 1 เดือนเศษๆ เท่านั้น

"เรามีคณะอนุกรรมการที่ได้รับมอบหมายให้มีสิทธิ์พิจารณาอนุมัติให้การส่งเสริมได้ในวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท ซึ่งคณะอนุกรรมการนี้จะประชุมกันทุกอาทิตย์ และสำนักงานยังได้ร่วมมือกับกรมศุลากรเพื่อดำเนินงานให้เป็นไปโดยเรียบร้อยในเรื่องเกี่ยวกับการนำเข้าวัตถุดิบและคลังสินค้าทัณฑ์บนอีกด้วย" สถาพรกล่าวในตอนหนึ่ง

ข้างฝ่าย ณรงค์ ศรีสอ้าน ตัวแทนจากเจ้าของสถานที่การจัดสัมมนาใหญ่ครั้งนี้ ก็ย้ำว่าขณะนี้ธนาคารพาณิชย์เองเน้นการให้บริการด้านการส่งออกอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาเงินทุนการค้ำประกัน การออก BID BOND การ CONFIRM L/C

ทั้งยังมีบริการรับซื้อเงินล่วงหน้าและบริการสอบถามฐานะการเงินของผู้ซื้อในต่างประเทศอีกด้วย

ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย เริงชัย มะระกานนท พูดถึงสินเชื่อเพื่อการส่งออกเป็นคนสุดท้ายปิดรายการวันนั้น

เขากล่าวว่า ที่ผ่านๆ มานั้นธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปล่อยเงินในระบบเศรษฐกิจผ่านธนาคารพาณิชย์ให้แก่สาขาการส่งออกสูงถึงร้อยละ 63 ของเงินที่ปล่อยเข้าไปในระบบ

นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงมาตรการใหม่ๆ เช่น การปรับ REDISCOUNT และ DISCOUNT RATE ใหม่ พร้อมทั้งขยายวงเงิน REDISCOUNT เพิ่มขึ้นอีก 5,000 ล้านบาท ทำให้เชื่อว่า ผู้ส่งออกจะได้รับประโยชน์ทั่วถึงมากขึ้น และธนาคารแห่งประเทศไทยมีนโยบายที่จะขยายการช่วยเหลือให้ครอบคลุมไปทั้งระบบนับตั้งแต่ตัวผู้ส่งออกไปจนถึงตัวผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายย่อย

เริงชัยให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนามาตรการให้สินเชื่อเพื่อการส่งออก ว่า

- ต้องพิจารณาถึงผลประโยชน์ที่ผู้ผลิตจะได้รับ ไม่ใช่เน้นตัวผู้ส่งออก

- จะต้องกระจายการรับซื้อช่วงลดให้เท่าเทียมและเป็นธรรมแก่ผู้ส่งออกรายย่อยและขนาดกลาง

- การกระจายสินเชื่อจะต้องพิจารณาถึงประเภทและฤดูกาลการส่งออกด้วย

การสัมมนาในวันนั้นจบลงเมื่อเวลา 18.00 น. ซึ่งก็เป็นที่เชื่อกันว่า ได้มีการถกถึงปัญหา

และอุปสรรคกันอย่างกว้างขวางพอสมควร พร้อมกันนั้นก็ได้มีการเสนอทางออกพร้อมๆ ไปด้วย

ก็คงจะต้องเป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องทุกส่วนจะร่วมมือกันปฏิบัติให้เกิดผลจริงๆ ต่อไปในอนาคต



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.