|
สหรัฐฯ ควรหยุดแทรกแซงตะวันออกกลาง
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( เมษายน 2554)
กลับสู่หน้าหลัก
การแทรกแซงตะวันออกกลางฝังอยู่ในสัญชาตญาณของสหรัฐฯ แต่ไม่ควรเป็นเช่นนั้นอีกต่อไป
กลียุคที่กำลังเกิดขึ้นในโลกอาหรับ มีทางเลือก 2 ทางให้แก่สหรัฐฯ หนึ่ง ยืนอยู่ข้างๆ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร หรือเข้าไปแทรกแซง แทรกตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเปลี่ยนแปลงด้วย และพยายามชักนำให้เกิดผลอย่างที่สหรัฐฯ ต้องการ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ยังไม่เลือกทั้งสองทาง
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทำให้สหรัฐฯ เลือกที่จะอดกลั้น เมื่อดูจากหลายทศวรรษที่ผ่านมา ที่การแทรกแซงจากภายนอกเข้าไปในโลกมุสลิม ทำให้เกิดผลเช่นใด หลังจากการพังภินท์ของ จักรวรรดิ Ottoman หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการวาดแผนที่ใหม่ของตะวันออกกลาง ที่มีจุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อความอยู่ดีมีสุขของผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่
หากแต่เพื่อสนองผลประโยชน์ของยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ
สัมพันธมิตรผู้ชนะสงครามขีดเส้นพรมแดนใหม่ให้ประเทศ ต่างๆ ในตะวันออกกลาง ให้ปกครองโดยกษัตริย์ เพื่อเป็นหลักประกันว่าชาติตะวันตกจะสามารถเข้าถึงน้ำมันและควบคุมคลองสุเอซได้
แต่ความสำเร็จของอังกฤษในตะวันออกกลางช่างมีอายุสั้น และทำให้อังกฤษสิ้นเปลืองอย่างหนัก เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น อังกฤษที่กำลังถังแตกจึงต้องผ่องถ่ายความรับผิดชอบไปสู่สหรัฐฯ ซึ่งขณะนั้นกำลังกระหายที่จะเป็นผู้นำโลก
สงครามเย็นกลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้สหรัฐฯ ปกปิดอำพรางจุดประสงค์ที่แท้จริงในการแทรกแซงตะวันออกกลาง สหรัฐฯ วาด ภาพ Mohammad Mossadegh แห่งอิหร่านให้เป็นเครื่องมือของ คอมมิวนิสต์ เขาจึงสมควรถูกโค่นล้ม กล่าวหา Gamal Abdel Nasser ของอียิปต์เป็นหุ่นเชิดของโซเวียต ไม่ใช่นักชาตินิยมอาหรับ สร้างภาพให้อิสราเอลเป็นป้อมปราการแห่งประชาธิปไตยอันโดดเดี่ยว อยู่ท่ามกลางผู้นำเผด็จการในตะวันออกกลางที่เป็นสมุนของโซเวียต
ปลายศตวรรษที่ 20 ยุทธศาสตร์ดังกล่าวของสหรัฐฯ เบ่งบานเต็มที่ แต่ผลที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด ก็เกิดขึ้นกับจักรวรรดิอย่างไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ นี้ ผลร้ายที่สุดคือ การเกิดขึ้นของรัฐอิสลามในอิหร่านซึ่งตั้งตัวเป็นศัตรูกับสหรัฐฯ
ความไร้เสถียรภาพในอิสราเอลทำให้ต้องพึ่งพิงการใช้กำลัง ทหารและความรุนแรงอย่างพร่ำเพรื่อ เกิดกระแสเกลียดชังและต่อต้านสหรัฐฯ ไปทั่วทั้งโลกมุสลิม และเกิดการฟักตัวของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงที่ประกาศจะเฉดหัวสหรัฐฯ ออกไปจากตะวันออก กลาง และชะล้างตะวันออกกลางให้หมดไปจากผู้ปกครองที่ฉ้อฉล คอร์รัปชั่น
จากนั้นวิกฤติการเงินโลกได้เกิดขึ้นในปี 2008 ทำให้สหรัฐฯ ต้องหันกลับไปให้ความสำคัญกับปัญหาภายในอย่างปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก ดังนั้น แทนการประกาศจะเปลี่ยน แปลงโลกมุสลิมเหมือนอย่าง Bush ประธานาธิบดี Obama กลับ พยายามให้สหรัฐฯ หยุดเอามือซุกหีบความยุ่งยากในตะวันออก กลาง ที่สหรัฐฯ เองมีส่วนในการสร้างปัญหาด้วยมานานหลายทศวรรษ
แต่ความจริงแล้ว การลุกฮือในโลกอาหรับขณะนี้ ได้เปิดโอกาสที่แท้จริงให้แก่ Obama ในการที่จะปรับยุทธศาสตร์เกี่ยวกับตะวันออกกลางให้ตรงทางเข้ารูปเข้ารอยเสียที
การลุกฮือของประชาชนในโลกอาหรับ ซึ่งสามารถโค่นล้ม ผู้นำเผด็จการไปได้แล้วถึง 2 คนในเวลาอันรวดเร็ว และกำลังคุกคามผู้นำอาหรับอีกหลายคน รวมไปถึงการที่ชาวอิหร่านลุกขึ้น มาต่อต้านผู้นำของตนเอง แสดงให้เห็นว่า ในหมู่ชาวมุสลิมหนุ่มสาว ซึ่งเป็นหัวหอกของการลุกฮือครั้งนี้ เอนเอียงมาชอบความทันสมัยมากกว่า
สิ่งที่ชาวมุสลิมในวัย 20 ในตูนิเซีย อียิปต์ บาห์เรน ลิเบีย และอิหร่านต้องการ ก็ไม่ต่างจากหนุ่มสาววัยเดียวกันในสหรัฐฯ ยุโรปและที่อื่นๆ โลกตะวันตก นั่นคือเสรีภาพทางการเมืองและโอกาสทางเศรษฐกิจ ในขณะที่กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงซึ่งชูจุดขายคือ การชักชวนให้หวนกลับไปใช้ชีวิตแบบในศตวรรษที่ 15 ได้รับความ สนใจเพียงจำกัดเท่านั้นจากคนหนุ่มสาวมุสลิม
ผลสุดท้ายของการปฏิวัติพลังประชาชนในโลกอาหรับครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครบอกได้ ผลของมันอาจจะก่อให้เกิดสถาบันที่คล้ายกับประชาธิปไตย หรืออาจจะเปิดทางให้กองทัพเข้ามาปกครองประเทศ หรืออาจจะเกิดผู้ปกครองเผด็จการสายพันธุ์ใหม่ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ที่แน่ๆ คือ ยุทธศาสตร์ตะวันออกกลางที่สหรัฐฯ ใช้มานานในการสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคนี้ ด้วยการจับยัดชนชั้นนำที่ต่อต้านประชาธิปไตยเข้าไปในโลกอาหรับ ได้พิสูจน์แล้วว่า มีโทษมากกว่าประโยชน์
อันตรายที่จะเกิดจากการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง ย่อมน้อยกว่าอันตรายที่จะเกิดจากการยื่นจมูกเข้าไปยุ่งเกี่ยว (อย่างลับๆ โดยผ่าน CIA หรืออย่างเปิดเผยโดยการแทรกแซงทางทหาร) กับการเขียนประวัติศาสตร์ในตะวันออกกลาง
สหรัฐฯ ควรหยุดแทรกแซงตะวันออกกลาง Woodrow Wilson เคยพูดไว้ว่า สหรัฐฯ ต้องหัดอดใจที่จะไม่รู้สึกว่า เป็นความ รับผิดชอบของตัวเองที่จะต้อง “สอนชาวอาหรับให้รู้จักเลือกผู้นำที่ดี” รัฐบาล Obama ควรปฏิบัติดังนี้
ประการแรก ยุติสงครามต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลกอย่าง สิ้นเชิง โลกอาหรับได้แสดงให้เห็นแล้วว่า มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตัวเอง ซึ่งหมายความว่า สหรัฐฯ ควรเสร็จสิ้น การถอนทหารออกจากอิรักโดยเร็ว และควรเริ่มต้นถอนทหารออก จากอัฟกานิสถานได้แล้ว ยิ่งมีทหารสหรัฐฯ ในโลกมุสลิมน้อยลงเท่าใด ก็ยิ่งเป็นผลดีมากเท่านั้น
ประการที่สอง สหรัฐฯ ควรสนับสนุนพลเมืองชาวอาหรับที่ออกมาชุมนุมประท้วงตามท้องถนนทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุม ทางการเมืองหรือทางศาสนา และต้องพร้อมจะยอมรับผลการประท้วงของชาวอาหรับด้วย ไม่ว่าผลที่ออกมานั้นจะส่งเสริมผลประโยชน์ของสหรัฐฯ หรือไม่
การที่สหรัฐฯ ไม่ยอมรับผลเลือกตั้งปาเลสไตน์ที่กลุ่มติดอาวุธ Hamas เป็นฝ่ายชนะเลือกตั้ง กระทบความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ทำให้กลายเป็นเหมือนคนมือถือสาก ปากถือศีลมาแล้ว หลักการที่สหรัฐฯ ควรยึดถือในข้อนี้คือ รัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งจาก ประชาชนถือเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรม โดยไม่มีข้อยกเว้น
ประการต่อมา หากประชาธิปไตยในชาติอาหรับส่งผลที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ สหรัฐฯ จะต้องรีบเสนอความ ช่วยเหลือด้านการพัฒนาทันที โดยใช้เงินที่จะประหยัดมาได้มาก หลังจากยุติสงคราม 2 แห่งในอิรักและอัฟกานิสถาน โครงการพัฒนาที่สหรัฐฯ จะสนับสนุนจะต้องเน้นการให้โอกาสทางการศึกษา แก่เยาวชน ความช่วยเหลือทางทหารควรเป็นเรื่องรองลงไป
การศึกษาเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ สามารถจะช่วยชาติอาหรับในการสร้างชาติได้รวมไปถึงการฝึกอบรมวิศวกร นักวิทยา ศาสตร์ ครู และบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งหมดนี้จะช่วยพัฒนาชาติอาหรับได้อย่าง แท้จริง แต่ว่าการเห็นผลอาจต้องใช้เวลานานเป็นปีหรือหลายทศวรรษ
นอกจากนี้สหรัฐฯ ควรแอบกระซิบ ให้ชาติพันธมิตรอาหรับที่ยังปกครองแบบเผด็จการ อย่างเช่นซาอุดีอาระเบียรีบเร่ง ยอมรับการปฏิรูปก่อนที่จะสายเกินไป ถึง แม้พวกเขาอาจจะไม่ยอมฟัง แต่ขณะนี้ ชัดเจนแล้วว่า การหลับหูหลับตาสนับสนุน พวกเขาจะนำไปสู่ผลเช่นไร
และสุดท้าย อิสราเอลคงจะรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ที่ต้องอยู่ท่ามกลางชาติอาหรับที่กำลังเกิดความไม่สงบ สหรัฐฯ จะต้องยืนยันการปกป้องเสถียรภาพของอิสราเอล อย่างหนักแน่น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า ขณะนี้การก่อตั้งประเทศปาเลสไตน์จะต้องเป็นนโยบายความมั่นคงแห่งชาติที่สำคัญอันดับต้นๆ ของสหรัฐฯ
การก่อตั้งประเทศปาเลสไตน์ได้สำเร็จ จะเป็นตัวอย่างที่ดีเลิศ ที่แสดงให้เห็นการสนับสนุนของสหรัฐฯ ต่อการเปลี่ยนแปลง ตัวเองของอาหรับ และยังจะทำให้ Osama bin Laden หมดข้ออ้างต่อกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงอื่นๆ ในการที่จะก่อการร้ายต่างๆ
การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงกำลังเกิดขึ้น และประชาชนในโลกอาหรับกำลังนั่งเป็นประธานการก่อตัวขึ้นของตะวันออกกลางยุคใหม่ และมีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการออกแบบของพวกเขาเอง
บทเรียนจากการตัดสินใจและการกระทำที่ผิดพลาดในอดีตของการแทรกแซงตะวันออกกลางจากภายนอก ควรจะทำให้ สหรัฐฯ ตระหนักว่า ไม่มีใครสามารถกำหนดได้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ต่อไป เพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เอง และผลประโยชน์ของชาว อาหรับที่กำลังดิ้นรนด้วยตัวเองเพื่อเสรีภาพและโอกาส สหรัฐฯ จึงควรจะถอยหลังออกไปให้พ้นทางของพวกเขา
แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง นิวสวีค
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|