“ออริจินส์” ปรับทัพสินค้า บุกตลาดแอนไท เอจจิ้ง


ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(6 เมษายน 2554)



กลับสู่หน้าหลัก

ออริจินส์ปรับคอนเซ็ปต์แบรนด์สู่ “Powered by Nature. Proven by Science” ชูจุดขายพลังธรรมชาติ ที่พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ที่ใจร้อนมากขึ้น พร้อมปรับทัพสินค้าลุยตลาดสกินแคร์ วางยุทธศาสตร์ 3 ปีนี้ รุกเข้มกลุ่มแอนไท เอจจิ้ง ล่าสุดเปิดตัว “Plantscription Anti-aging” นวัตกรรมเพื่อการลดเลือนริ้วรอย ขยายฐานลูกค้าวัย 40 ปีขึ้นไป ด้วยกลยุทธ์โกลบอล อิมแพกต์ หวังตอกย้ำแบรนด์และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค การจัดทัพใหม่ครั้งนี้ ออริจินส์ตั้งเป้าเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ต่อเนื่อง 3 ปี

หากมองภาพการแข่งขันตั้งแต่ต้นปี เคาน์เตอร์แบรนด์เป็นอีกเวทีที่ถือว่าดุเดือด และถึงตอนนี้ก็ยังร้อนแรงแทบทุกตารางผิว โดยจะเห็นว่าสงครามการช่วงชิงผิวหน้าสาวไทยเข้มข้นขึ้นต่อเนื่องทุกปี เพราะนอกจากเป้าหมายการปั๊มยอดขายแล้ว ผู้เล่นทั้งหลายยังมองถึงการตอบโจทย์ลูกค้าเชิงลึก มากกว่าการขยายฐานในเชิงปริมาณ

ล่าสุดการเปิดตัว “Plantscription” ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Anti-aging” นวัตกรรมเพื่อการลดเลือนริ้วรอย ผลิตภัณฑ์ที่ออริจินส์วางเป็นหัวหอกบุกตลาดสกินแคร์ในปีนี้ โดย สุนทรียภาพ บุณโยทยาน ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ออริจินส์ ประเทศไทย กล่าวว่า นวัตกรรมดังกล่าวออริจินส์ใช้เวลาในการพัฒนาและวิจัยนานกว่า 20 ปี และใช้งบการตลาดมากสุดเท่าที่ออริจินส์เคยใช้ โดยจะเป็นสินค้าเรือธงสำหรับใช้ลุยตลาดสกินแคร์ ที่นับจากนี้ไป 3 ปี ออริจินส์จะโฟกัสไปเซกเมนต์แอนไท เอจจิ้งเป็นหลัก เพื่อรับเทรนด์ตลาดที่พบว่าแอนไท เอจจิ้งเป็นเซกเมนต์ที่มีการเติบโตมากสุด

สำหรับความเคลื่อนไหวของผู้เล่นรายนี้ ถือเป็นความต่อเนื่องที่ออริจินส์พยายามขยายฐานและบุกเซกเมนต์แอนไท เอจจิ้ง โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ออริจินส์หันมาสนใจทำตลาดสกินแคร์มากขึ้น โดยสินค้าและนวัตกรรมที่เปิดตัวในช่วงเวลานี้ล้วนเป็นสินค้าหมวดสกินแคร์ 100% ทำให้ปัจจุบันสินค้าภายใต้แบรนด์ออริจินส์ จึงมีสัดส่วนที่เปลี่ยนไป โดยสินค้ากลุ่มสกินแคร์มีสัดส่วนมากสุด 85% รองลงมาคือ กลุ่มบาธแอนด์บอดี้ 10% ที่ไม่มีการออกสินค้าใหม่นอกจากการทำตลาดสินค้าตัวเดิม ส่วนกลุ่มเมกอัพ, เซนซอรี่ เธอราปี และกลุ่มอื่นๆ เช่น น้ำหอม ครีมบำรุงมือ มีสัดส่วนรวมกัน 5% ทั้งที่เมื่อ 3-4 ปีก่อน กลุ่มสกินแคร์มีสัดส่วน 66% กลุ่มบาธแอนด์บอดี้ 20% กลุ่มเมกอัพ 7% กลุ่มเซนซอรี่ เธอราปี 5% และอื่นๆ เช่น น้ำหอม ครีมบำรุงมือ 2%

“สัดส่วนที่เปลี่ยนไปของสินค้าแบรนด์ออริจินส์ เป็นไปในทิศทางเดียวกับของออริจินส์ทั่วโลก”

อย่างไรก็ตาม สำหรับการขยับปรับทัพสินค้าของออริจินส์ในครั้งนี้ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ออริจินส์ บอกว่า ในช่วง 3 ปีนี้บริษัทจะมุ่งขยายตลาดในกลุ่มแอนไท เอจจิ้ง โดยแผนปีนี้จะบุกขยายฐานลูกค้าวัย 40ปีขึ้นไป โดยใช้ “แพลนต์สคริปชั่น” (Plantscription) ผลิตภัณฑ์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Very Serious Skincare ซึ่งออริจินส์เข้ามาทำตลาดเป็นครั้งแรก เพื่อรับเทรนด์ของตลาดและการแข่งขันในสมรภูมิความงามระดับเคาน์เตอร์แบรนด์ที่พบว่า ผู้เล่นในเวทีนี้มีการลงทุนและเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มากยิ่งขึ้น

กลับมาที่การทำตลาดนวัตกรรมล่าสุด แน่นอนว่าด้วยเป้าหมายแรกที่ออริจินส์ต้องการเพิ่มสัดส่วนลูกค้าวัย 40% จากที่มีอยู่ 4% ให้เป็น 8% ในช่วงเวลา 1 ปี จากที่ลูกค้าหลัก 60% จะเป็นกลุ่มอายุ 25-40 ปี ผู้เล่นรายนี้จึงต้องวางยุทธศาสตร์มาเป็นอย่างดี ที่ครั้งนี้พบว่าเป็นการผนึกกำลังของแบรนด์ออริจินส์ทั่วโลก ภายใต้กลยุทธ์ Global Impact Strategy ซึ่งไม่ใช่แค่การเปิดตัวสินค้าพร้อมกันทั่วโลกในเดือนมีนาคมนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงรูปแบบการทำตลาดทั้งหมด เพื่อให้สื่อสารออกมาในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะคอนเซ็ปต์ “การเป็นสินค้าที่ชูเรื่องพลังธรรมชาติแต่พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์” ซึ่งถือเป็นความต้องการเชิงลึกของผู้บริโภคยุคนี้ที่ต้องการผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติแต่ก็ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วด้วย

ด้วยการแบ่งออกเป็น 3 ภูมิภาค เพื่อแบ่งโซนการประชาสัมพันธ์ ประกอบด้วย อเมริกา, ยุโรป และเอเชีย ที่มีจุดศูนย์กลางและจะจัดงานในประเทศเกาหลี นอกจากนี้ก็จะมีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องนาน 3 เดือน เพื่อสร้างความเข้าใจและตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์กับผู้บริโภค เช่น การใช้ Testimonial Program เป็นการใช้กลยุทธ์ People Reinforcement โดยใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงในวงสังคม และลูกค้าของแบรนด์ เป็นผู้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ Plantscription เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับแบรนด์ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าเกิดความเชื่อถือและมีความมั่นใจต่อแบรนด์มากขึ้น โดยในเมืองไทยมีการใช้บุคคลมีชื่อเสียงทั้งชายและหญิงรวม 8 คน มาร่วมทดสอบสินค้า

นอกจากนี้ การลงทุนด้านสื่อก็มีความหลายหลายมากขึ้น ทั้งช่องทาง Online, Print Media, TV Tie-in, Mobile และสื่อ Out of home เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในทุกๆช่องทาง โดยมุ่งชูคอนเซ็ปต์ Powered by Nature. Proven by Science ควบคู่กันไปในทุกๆ สื่อ พร้อมการจัดกิจกรรม Special Event ณ พื้นที่โปรโมชั่น ให้คำแนะนำในการดูแลผิว และข้อมูลของสินค้าที่เป็นกลุ่ม Very Serious Skincare ซึ่งถือเป็นสินค้าไลน์ใหม่ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ขณะเดียวกัน การขยายช่องทางจำหน่ายก็เตรียมจะเปิดเพิ่มอีก 5 แห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดภายในเวลา 3 ปี จากตอนนี้ที่มีอยู่ 12 แห่งเฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น

สำหรับการนำร่องบุกในครั้งนี้ ทางออริจินส์หวังว่านวัตกรรมใหม่จะเข้ามาร่วมใน Business Mix ของแบรนด์ประมาณ 8-10% ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Anti-Aging ทั้งหมดเติบโตมากกว่า 50% จากกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าของแบรนด์ ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ Make a Difference, กลุ่มผลิตภัณฑ์ Youthtopia, กลุ่มผลิตภัณฑ์ Dr. Weil และกลุ่มผลิตภัณฑ์ Starting Over พร้อมกับคาดว่าจะสามารถผลักดันยอดขายของออริจินส์ให้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ต่อเนื่องไปอีก 3 ปีด้วย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.