การตลาด360 องศา ค่ายอาร์สยาม สูตรสร้างรายได้เบอร์1ลูกทุ่งร่วมสมัย


ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(6 เมษายน 2554)



กลับสู่หน้าหลัก

ค่าย“อาร์สยาม” เครืออาร์เอส กับ กลยุทธ์ “วันสต๊อป เซอร์วิส มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง” (One Stop Service Music Marketing) ที่สามารถตอบโจทย์การตลาดทั้งเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและมัดใจฐานคนฟังเก่าให้แน่นแฟ้นพร้อมขยายฐานคนฟังสู่กลุ่มใหม่ด้วยแนวเพลงลูกทุ่งร่วมสมัยแห่งยุค

หลังจากเดินเกมรุกตลาดกวาดฐานคนฟังเพลงลูกทุ่งแนวสมัยใหม่นานนับปีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดปีที่ผ่านค่ายอาร์สยามในเครืออาร์เอสได้ก้าวขึ้นแท่นเบอร์ 1 ครองส่วนแบ่งตลาดเพลงลูกทุ่งรวมอยู่ที่ 40 % จากปัจจุบันจากตลาดเพลงลูกทุ่งทั่วประเทศ คาดมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท

ความสำเร็จครั้งนี้ หากสแกนโมเดลธุรกิจที่อาร์สยามใช้ในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดมาจาก ประการแรก- การปรับตัวให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคแบบทันยุคทันสมัยหรือที่เราเรียกว่า ลูกทุ่งร่วมสมัย จนสามารถหาจุดเด่นจุดขายที่ครองใจคนฟังได้มากที่สุด

“ จุดแข็งของอาร์สยาม คือ การปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันกับกระแสและเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา ทำเพลงให้คนกลุ่มใหม่ๆ แนวใหม่ หรือเพลงลูกทุ่งร่วมสมัยที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับอาชีพ ครบทุกเซ็กเม้นต์ครอบคลุมความต้องการของคนฟังทั่วทั้งประเทศ ซึ่งปัจจุบันตลาดเพลงลูกทุ่งทั้งภาคใต้ ภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง มีศิลปินที่มีคุณภาพ มีความสามารถและมีเพลงที่โดนใจคนฟัง ซึ่งทำให้อาร์สยามเป็นค่ายเพลงลูกทุ่งอันดับ 1 ที่ครองใจคนฟังทั่วประเทศ "รองกรรมการผู้อำนายการดูแลงานเพลงลูกทุ่ง และธุรกิจเพลง และกรรมการผู้จัดการค่ายเพลงอาร์ สยาม บริษัท อาร์เอส จำกัด(มหาชน) ศุภชัย นิลวรรณบอก

ประการที่สอง-กลยุทธ์ One Stop Service Music Marketing มุ่งมองหาพันธมิตรที่มีลูกค้าเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกันร่วมทำตลาด เพื่อลดความเสี่ยงและต้นทุน

" เราเน้นบริหารรายได้แบบ 360 องศา โดยอาศัยจุดแข็งด้านสื่อ และศิลปินที่มีอยู่ สร้างความพอใจให้ลูกค้าในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ การเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า , การจัดกิจกรรมโรดโชว์ต่างๆ การจัดคอนเสิร์ต หรือการผูกบุคลิกของศิลปินเข้าไปกับตัวสินค้า หรือการ Tie-in สินค้าเข้าในมิวสิควีดีโอ เป็นต้น ถือเป็นกลยุทธ์ช่วยบริหารความเสี่ยงและลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี"

ทั้งนี้ ทำให้สัดส่วยรายได้ของบริษัท มาจากกลุ่มต่างจังหวัด 50% แลกรุงเทพฯ 50% ซึ่งอดีตรายได้จากยอดขายแผ่นซีดีและวีซีดี( Physical) เมื่อเทียบกับดิจิตอล คิดเป็น 80 : 20% แต่ด้วยการเข้ามาเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้ฟังทำให้ปัจจุบันอาร์สยามมียอดรายได้เปลี่ยนไปจากเดิมคือรายได้ยอดขายแผ่นซีดีและวีซีดี ( Physical) เมื่อเทียบกับดิจิตอล มีสัดส่วนประมาณ 45 : 55 %

“ การเข้ามาของเทคโนโลยีนับ เป็นโอกาสที่ดีในปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี และยังส่งผลดีช่วยลดต้นทุนและสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี ซึ่งดูจากรายได้จากการดาวน์โหลดในแคมเปญ *339 ซุปเปอร์เหมา โหลดลงคอมก็ได้โหลดใส่มือถือก็ดี” อาร์สยามมีรายได้คิดเป็น 35% เลยทีเดียว นอกจากเทคโนโลยียังเป็นตัวกระจายผลงานของอาร์สยามไปยังกลุ่มคนฟังได้หลากหลายกลุ่มและตรงเป้าหมายมากขึ้นแล้วยังส่งผลให้ยอดการดาวน์โหลดเพลงพุ่งขึ้นตามความนิยมของศิลปิน อันจะเป็นการต่อยอดธุรกิจในสายงานดิจิตอล ได้อีกช่องทางหนึ่งอีกด้วย”

ดังนั้น เพื่อให้เป้าหมายรายได้ที่บริษัทกำหนดไว้ในปีนี้ 640 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้ว 20% บรรลุความสำเร็จ อาร์สยาม จากการบริหารจัดการตามกลยุทธ์ “วันสต๊อป เซอร์วิส มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง” ที่เรามีความแข็งแกร่งและมีคอนเท้นต์ที่สมบูรณ์ ซึ่งรายได้หลักจะมาจากยอดขายแผ่นซีดี , วีซีดี , ดีวีดี และ MP3 ( Physical) ( 23 % ) ธุรกิจดิจิตอล (30% ) กิจกรรมทางการตลาด (9 % ) ขายสื่อโฆษณา (โทรทัศน์ดาวเทียมช่อง สบายดี) (26% ) ค่าลิขสิทธิ์ประมาณ (7% ) และรายได้จากงานโชว์ศิลปิน ( 5% )

นอกจากนี้ ยังมีแผนโฟกัสทำเพลง เน้นสะท้อนวิถีชีวิตของบุคคลในทุกระดับอาชีพ ทั้งคนกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดออกมาในรูปเสียงเพลง รวมทั้งเลือกสรร และผลักดันศิลปินหน้าใหม่ที่มีความสามารถออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกัลกลยุทธ์ One Stop Service Music Marketing ที่มองหาพันธมิตรที่มีลูกค้าเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกันร่วมทำตลาดดังเช่นที่ได้สร้างความสำเร็จมาแล้วต่อไป 640 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้ว 20%

บอสใหญ่อาร์สยาม ยังให้มุมมอง ด้านภาพรวมของตลาดเพลงลูกทุ่งในปัจจุบันว่า มีการขยายตลาดเพิ่มขึ้นมากจากแนวเพลงที่หลากหลายขึ้น เพื่อตอบโจทย์คนฟังในทุกเซ็กเม้นต์ทั่วประเทศ ทำให้เกิดลูกทุ่งแนวใหม่ๆ ทั้งลูกทุ่งสไตล์ป๊อป ลูกทุ่งเกาหลี ลูกทุ่งร่วมสมัย บวกกับเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นตัวผลักดันให้ต้องปรับตัว

“อาร์สยาม ไม่ได้เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่ต้องเปิดใจ โดยจะสังเกตได้ว่ายุคสมัยและคนฟังเพลงที่เปลี่ยนไป จะเป็นตัวกำหนดแนวเพลงให้ตลาดในปัจจุบัน ที่ผ่านมาถือได้ว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากรายได้ของปีที่ผ่านมาเติบโตกว่า 45 % และมีกำไรสุทธิเติบโตกว่า 120 % จากปีก่อนหน้านี้ ถือได้ว่าเป็นปีที่ อาร์สยาม มีกำไรสูงสุดตั้งแต่ดำเนินการมา” ศุภชัย กล่าวทิ้งท้าย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.