สุนทราภรณ์ต้นแบบลิขสิทธิ์บันเทิง

โดย ปิยาณี รุ่งรัตน์ธวัชชัย
นิตยสารผู้จัดการ( มีนาคม 2538)



กลับสู่หน้าหลัก

แม้เรื่องลิขสิทธิ์จะเพิ่งตื่นตัวเมื่อไม่นานมานี้ แต่สำหรับ "สุนทราภรณ์" เรื่องของลิขสิทธิ์กลับกลายเป็นปกติธรรมดามากว่าครึ่งศตวรรษ แตกต่างจากคนในวงการเพลงทั่วไป และรายได้จากค่าลิขสิทธิ์นี้เอง เป็นน้ำหล่อเลี้ยให้ชื่อของ "สุนทราภรณ์" ยั่งยืนและยังมีผลงานแพร่หลายในวงการจนทุกวันนี้

แม้ว่ากฎหมายลิขสิทธิ์ที่เพิ่งเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2538 จะส่งผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้องในวงการเพลงทั้งในแง่บวกและลบ อาทิ การเพิ่มรายจ่ายเกี่ยวกับการเผยแพร่ หรือในทางตรงกันข้ามการมีรายได้เพิ่มจากการเผยแพร่ แต่สิ่งเหล่านี้แทบไม่มีผลใดๆ เลยต่อลิขสิทธิ์เพลงของสุนทราภรณ์

เพลงของสุนทราภรณ์เป็นตัวอย่างอันดีของการจัดการความแน่ชัดในเรื่องลิขสิทธิ์ที่เห็นเด่นชัด แม้จะเป็นเพลงที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในยุคที่ผ่านมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ ในขณะที่ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์เพลงของคนรุ่นใหม่มีให้เห็นกันประปรายเสมอๆ และโดยมากมักจะเกิดจากความไม่แน่ชัดของข้อสัญญา

หรือจะเป็นอย่างคำพูดที่ว่าเพราะศิลปินส่วนใหญ่มักมีอารมณ์เพ้อฝัน เมื่อได้สิ่งที่ตนพอใจก็ถือว่าเพียงพอแล้ว บางรายขอเพียงให้ได้ร้องเพลงมีเทปที่บันทึกเสียงร้องเป็นของตัวเอง เรียกได้ว่าแค่ให้มีโอกาสทำงานก็ไม่เกี่ยงงอนเรื่องผลประโยชน์ และส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักร้องส่วนใหญ่มีความรู้น้อย โดยเฉพาะศิลปินสมัยเก่าด้วยแล้ว เรื่องผลประโยชน์จะเป็นเรื่องที่นึกถึงกันเป็นเรื่องสุดท้าย ผิดกับพ่อค้าที่นึกถึงประโยชน์และผลกำไรเป็นอันดับแรก

ตัวอย่างกรณีเพลงของสุรพล สมบัติเจริญ ซึ่งเคยเกิดปัญหาว่าลิขสิทธิ์จะตกแก่ใคร เมื่อผู้สร้างสรรค์ไม่บันทึกไว้แน่นอน หรือการที่ค่ายเทปต้นกำเนิดของนักร้องดังหลายราย นำเทปกลับมาอัดขายใหม่เมื่อนักร้องนั้นมีชื่อเสียงล้วนเป็นนามยอกอกที่ผู้สร้างสรรค์งานได้แต่มองดูโดยไม่อาจจะทำอะไรได้เพราะ ความรอบคอบที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านั้น

อติพร เสนะวงศ์ ผู้ถือลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมดของสุนทราภรณ์กล่าวว่า ลิขสิทธิ์เพลงของสุนทราภรณ์เป็นลิขสิทธิ์เดียวที่อยู่รวมกันไม่ต่ำกว่า 2,000 เพลง ที่ครูเอื้อเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้นโดยไม่นับรวมในส่วนของเพลงที่แต่งให้กับหน่วยงานราชการ หรือสถาบันต่างๆ และยังเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์เพลงมากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลิขสิทธิ์ที่ค่อนข้างกระจัดกระจาย

นอกจากนี้ลิขสิทธิ์เพลงของสุนทราภรณ์ถือได้ว่าเป็นลิขสิทธิ์เดียวที่ไม่มีการซื้อขาย แต่สืบทอดกันมาตลอด โดยครูเอื้อได้ทำลิขสิทธิ์เป็นมรดกให้กับภรรยา "อาภรณ์ สุนทรสนาน" และอติพร ซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียว เพราะเชื่อว่าภรรยาและลูกเท่านั้นจะเป็นผู้ปกป้องชื่อเสียงและดูแลสิ่งที่รักไว้ได้ดีที่สุดแต่หากปล่อยไว้ลอยๆ ก็คงจะถูกใครนำไปใช้อย่างไรก็ได้

"การจัดการลิขสิทธิ์เนื่องจากคุณพ่อเป็นคนที่รอบคอบ ตั้งแต่สมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านจะทำสัญญาให้เช่าลิขสิทธิ์กับใครก็จะใช้ทนายคือ สิงห์โต ประไพพาณิชย์ และชมพู อรรถจินดา เป็นผู้ดูแลตลอด เรียกได้ว่าเป็นศิลปินที่ค่อนข้างมีความรู้ด้านกฎหมายมากพอควร และสัญญาทุกฉบับที่ทำก็จะทำโดยทนายความเป็นผู้ดำเนินการ"

ลิขสิทธิ์เพลงนอกเหนือจากที่เป็นมรดก ยังมีในส่วนของเพลงปลุกใจ ซึ่งกรมประชาสัมพันธ์จะเป็นผู้ได้ลิขสิทธิ์ เช่นเดียวกับเพลงที่เกี่ยวกับราชการทั้งหมด และเพลงของสถาบันต่างๆ ส่วนเพลงรักหวานซึ้งทั่วไป เป็นลิขสิทธิ์ของทายาทซึ่งครูเอื้อแยกไว้ชัดเจน รวมถึงเพลงเฉพาะกาลอื่นๆ ด้วย เช่น เพลงงานแต่ง งานขึ้นบ้านใหม่ งานวันเกิด

"อาจจะมีคนไม่รู้แล้วพูดกันไม่ว่ากรมประชาสัมพันธ์จะได้ลิขสิทธิ์เพลงรัก เพราะท่านแต่งในช่วงที่รับราชการ แต่การแต่งเพลงนั้นๆ ไม่ใช่แต่งเพราะได้รับคำสั่งให้แต่งทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ที่กรมประชาสัมพันธ์จะเป็นสั่งให้แต่งทั้ง 2,000 กว่าเพลง จากประสบการณ์ที่เห็น ท่านคิดแต่งเพลงเองถึง 90% หรือแทบจะ 99% เป็นความคิดของครูเอื้อเองทั้งนั้นเพราะท่านเป็นคนที่แต่งเพลงได้ทุกเวลา ทุกสถานที่" อติพรกล่าวถึงความแน่ชัดของลิขสิทธิ์เพลงในแต่ละส่วน

แม้เพลงของสุนทราภรณ์จะมีเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แน่ชัดและรู้จักกันทั่วในวงการเพลง แต่ก็ยังหนีไม่พ้นการถูกละเมิดลิขสิทธิ์อย่างโจ่งแจ้ง

"ที่ผ่านมาถูกละเมิดลิขสิทธิ์ตลอดเวลาและค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เป็นคนที่เรียกว่าลูบหน้าปะจมูก รู้จักกันแต่ไม่ขออนุญาตให้ถูกต้อง เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ได้เอาความโดยถือคติที่ครูเอื้อเคยเปรียบไว้ว่าเหมือนตักน้ำรดหัวหมา ถ้าหมามันสะบัดไปมา ดีไม่ดีเราก็เปียกด้วย แต่ถ้ามีการละเมิดที่ค่อนข้างชัด เช่น ทำเทป ก็ต้องฟ้องร้องกัน ปีหนึ่งก็มีประมาณ 2-3 ราย ซึ่งก็ไม่มีผลอะไรมากเหมือนเป็นการเตือน" อติพรกล่าวถึงวิธีการจัดการกับผู้ละเมิดลิขสิทธ์เพลงสุนทราภรณ์ที่ผ่านๆ มา

ค่าลิขสิทธิ์เพลง น้ำเลี้ยงสุนทราภรณ์

กฎหมายลิขสิทธิ์ที่ออกมารองรับและปกป้องสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์นั้นยังมีเรื่องต้องพิจารณากันอีกมาก ทั้งตัวกฎหมายเองว่าจะมีความศักดิ์สิทธิ์เพียงใด รวมถึงตัวผู้ใช้ที่จะปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ เพราะถ้าคนไม่ปฏิบัติกฎหมายก็คงจะใช้ไม่ได้

การดูแลเรื่องลิขสิทธิ์เพลงของสุนทราภรณ์ที่ผ่านมา มีเพียงเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นผู้ดูแลแต่เพียงผู้เดียว ส่วนค่ายเทปต่างๆ เป็นเพียงผู้แทนจำหน่ายเทปเพลง ซึ่งสุนทราภรณ์ยังมีสัญญาอยู่กับหลายบริษัท เช่น เมโทร, นิธิทัศน์, แกรมมี่ และบริษัทเล็กๆ บางแห่ง บางรายทำสัญญาตั้งแต่สมัยครูเอื้อยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเมื่อหมดอายุสัญญาก็มีสิทธิ์จะต่อสัญญาหรือไม่ก็ได้

"สัญญาจะมีเป็นตลับๆ ไปอย่างแกรมมี่มีทั้งเทปและซีดีของเมโทร จะมากหน่อยมีทั้งเทป ซีดี วิดีโอ คาราโอเกะ ส่วนนิธิทัศน์ ที่ผ่านมาก็มีเป็นผลงานของดนุพล แก้วกาญจน์ และรวงทอง ทองลั่นทม"

อติพรกล่าวว่า รายได้ที่ได้จากค่าเทป ได้ไม่มากเท่าที่หวังไว้แต่ก็อยู่ในระดับที่พอใจ เพราะเท่าที่ผ่านมาผู้ประพันธ์จะเป็นคนที่ได้ส่วนแบ่งน้อยที่สุด ถ้าเทียบกับนักร้อง นักร้องจะได้มากกว่า คนแต่งอย่างเก่งก็ได้ตลับละ 1 บาท นักร้องจะได้ 7-8 บาทต่อตลับ แล้วแต่มีชื่อเสียงมากน้อยแค่ไหน

"เงินค่าลิขสิทธิ์ ส่วนใหญ่ได้มาในลักษณะของน้ำซึมบ่อทราย ประเมินรายได้ ได้ไม่แน่ชัด ขึ้นกับเศรษฐกิจ เศรษฐกิจดีไม่ดีก็มีคนติดต่อเข้ามาเยอะ แต่ติดต่อแล้วก็หายไป เพราะการจะอนุญาตให้ใครเอาเพลง จะต้องพิจารณาว่าเพลงที่ต้องการเป็นเพลงลักษณะใด เอาไปทำอะไร ให้ใครร้อง ใครบรรเลง ค่ายเพลงมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีคนเช่าค่อนข้างน้อย อย่างปีที่ผ่านมาไม่แน่ใจว่าให้เช่าไปถึงตลับหรือเปล่า ทั้งนี้เงินค่าลิขสิทธิ์ยังเป็นเงินที่ต้องแบ่งไปใช้บำรุงโรงเรียนสุนทราภรณ์การดนตรีที่มีรายได้เข้ามาน้อยลง และวงดนตรีด้วย"

อย่างไรก็ดี ภายหลังจากที่กฎหมายลิขสิทธิ์มีผลบังคับใช้ แล้วสุนทราภรณ์ได้สมัครเป็นสมาชิกกับบริษัท ลิขสิทธิ์ดนตรี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจะเป็นผู้ดูแลจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ให้กับสมาชิกนั้น จะทำให้สุนทราภรณ์มีรายได้จากการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ไม่เคยได้อะไรจากส่วนเหล่านี้ ทั้งเพลงที่ถูกนำไปเปิดในสถานีวิทยุ โทรทัศน์ ร้านอาหาร ทั้งในและต่างประเทศซึ่งจากการสำรวจของบริษัทลิขสิทธิ์ดนตรี พบว่า มีเพลงของสุนทราภรณ์ถูกนำไปเล่นทั้งตามสถานีวิทยุในและต่างประเทศ ตามห้องอาหารไทย เช่น ในประเทศเยอรมนี

ในขั้นแรกอติพรได้เลือกเฉพาะเพลงที่ทำเป็นเทปหรือแผ่นดสียงไว้ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดมากหน่อยไปจดสมาชิกก่อนประมาณไม่ถึง 100 เพลง และจะทยอยจดในส่วนที่เหลือแต่ไม่ใช่ทั้ง 2,000 กว่าเพลงเพราะบางส่วนไม่ได้บันทึกเสียงไว้

วันนี้ของสุนทราภรณ์

ถ้าจะนับรุ่นแฟนเพลงของสุนทราภรณ์ กลุ่มผู้ฟังส่วนใหญ่ยังเป็นคนร่วมสมัยคือ กลุ่มผู้ฟังเดิมจะมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ต่ำกว่านั้นลงมาจะน้อยมาก จะมีบ้างในกรณีที่บางครอบครัวที่พ่อแม่เป็นแฟนเพลงอย่างเหนียวแน่นแล้วเลยซึมซับมาถึงลูก ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นหลังที่มีน้อยและเป็นเรื่องน่าหวั่นใจว่า หากแฟนเพลงรุ่นเก่าหมดไป สุนทราภรณ์จะมีชื่ออยู่อย่างไรถ้าไม่มีคนฟัง

รายการชีวิตกับเพลงของอัจฉรา กรรณสูต ทางช่อง 7 ประจำงานเดียวของสุนทราภรณ์ นับเป็นเวทีเผยแพร่ชั้นดีของเพลงสุนทราภรณ์ให้รู้จักในวงกว้างมากขึ้นสู่คนรุ่นหนึ่ง ด้วยกลยุทธ์การนำดารารุ่นใหม่ๆ เข้ามาเป็นแม่เหล็กให้คนติดตาม เป็นผลให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสรู้จักเพลงของสุนทราภรณ์มากขึ้น อาจจะไม่ชอบเสียทีเดียวแต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเพลงบางเพลงค่อนข้างไม่ล้าสมัยเสียทีเดียว

สำหรับวงดนตรีซึ่งยังคงมีสภาพเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่จดทะเบียนมาตั้งแต่สมัยครูเอื้อ ยังคงรับงานเป็นปกติแต่ไม่สามารถเรียกราคาได้ตามที่ต้องการ เพราะการแข่งขันสูงและมีวงดนตรีลักษณะคล้ายกันหลายวงทำให้ปริมาณงานไม่สม่ำเสมอ แล้วแต่ภาวะเศรษฐกิจ โดยมากจะมีงานชุกในช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ประปรายจนถึงเดือนเมษายน หน้าฝนจะมีเพียง 2-3 งาน

"สาเหตุที่งานยังขึ้นอยู่กับฤดูเพราะวงสุนทราภรณ์จะเป็นฟูลแบนด์จะต้องใช้ผู้เล่นอย่างต่ำ 15 คน ถ้าเป็นสุนทราภรณ์ที่แท้จริงจะต้องเป็นวงดนตรีวงใหญ่ซึ่งเล่นกลางแจ้งที่จะยังมีรูปแบบงานอย่างนี้มากในต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ นอกจากงานคอนเสิร์ตซึ่งจัดไม่บ่อย งานกาชาดและงานการกุศลแล้วมักจะเล่นในโรงแรมแบบวงเล็กเพราะเสียงสะท้อนไม่สามารถบรรจุเครื่องดนตรีได้ครบ" อติพรกล่าวถึงอุปสรรคการเล่นดนตรี

การรับงานของสุนทราภรณ์จะแบ่งวงดนตรีเป็น 2 ขนาด วงเล็ก 15 คน ประกอบด้วยนักดนตรี 6 คน นักร้อง 6 คน นักร้องชายหญิงอย่างละ 3 คน ค่าจ้าง 8,000 บาทขึ้นไป สำหรับระยะเวลา 3 ชั่วโมง (18.00-21.00 น.) หรือประมาณ 25,000 บาท ถ้าเล่นทั้งวันและถ้าเป็นวงใหญ่ 30 คน จะเพิ่มเป็นประมาณ 15,000 บาท/3 ชั่วโมง

โดยมีนักร้องและนักดนตรีประจำประมาณ 25 คน แบ่งเป็นนักร้อง 12-15 คน ที่เหลือเป็นนักดนตรีประมาณ 20 คน ถ้าเล่นวงใหญ่พิเศษจะต้องจ้างนักดนตรีเพิ่มซึ่งนักร้องนักดนตรีจะไม่มีเงินเดือนประจำ แต่จะแบ่งผลประโยชน์ทุกครั้งที่ไปเล่น นักร้องและนักดนตรีมีงานประจำ บางส่วนเป็นข้าราชการมาตั้งแต่สมัยครูเอื้อยังอยู่ บางส่วนเป็นนักเรียนก่อนที่ครูเอื้อเกษียณ ซึ่งถือว่าตนเกิดจากสุนทราภรณ์ เมื่อมีงานก็จะมาช่วยเล่นในฐานะนักดนตรีอิสระ

อย่างนี้แล้วจึงเป็นห่วงสำหรับวงฟูลแบนด์อย่างสุนทราภรณ์จะยังคงรักษาสถานภาพของตนเองได้นานเพียงใด ท่ามกลางการแข่งขัน และกระแสความนิยมดนตรีที่เปลี่ยนไป แม้ว่าสุนทราภรณ์จะมีรายได้ตลอดกาลจากค่าลิขสิทธิ์เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.