ชลบุรี...ใกล้แค่นี้ แต่มีอะไรดีๆ...ตั้งเยอะ

โดย ธนิต วิจิตรพันธุ์
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( มกราคม 2554)



กลับสู่หน้าหลัก

เมืองตากอากาศเก่าแก่ที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไปเพียงชั่วโมงเศษ ยังมีหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งคงเสน่ห์อยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย แม้หลายคนอาจลืมเลือนไป เพราะมีเมืองตากอากาศในวิถีชีวิตสมัยใหม่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก

2554 ปีมหามงคล ปีแห่งความปิติสุข ยินดีของเหล่าพสกนิกรไทยโดยถ้วนหน้า เพราะเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงมีพระชนมายุครบ 7 รอบ หรือ 84 พรรษา

เหล่าบรรดาหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ทุกภาคส่วนต่างรวมใจรวมพลังเพื่อแสดงความจงรักภักดี จัดกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ เฉลิมพระเกียรติฉลองในวโรกาสอันสำคัญของปวงชนชาวไทยทั้งมวล โดยได้มีการเริ่มจัดงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา อาทิ โครงการสายธารแห่งน้ำพระทัย 84 พรรษา

การจัดการประกวดภาพถ่ายโครงการพระราชดำริบรรยายความประทับใจ โดยมูลนิธิภาพถ่ายแห่งประเทศไทยร่วมกับกระทรวงพลังงาน และอีก 14 องค์กร

จัดพิมพ์ไปรษณียบัตรภาพถ่ายโครงการพระราชดำริเพื่อถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคมที่ผ่านมา จำนวน 1 ล้านใบ

การจัดนิทรรศการกลางแจ้ง “ภาพถ่ายข้างบ้านพ่อ” แสดงภาพถ่ายโครงการพระราชดำริจำนวน 168 ภาพ ณ บริเวณ บาทวิถีถนนราชวิถีในแนวขนานพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 1-9 ธันวาคมที่ผ่านมาเช่นกัน

นอกจากนี้ยังได้รวบรวมภาพถ่ายเพื่อจัดทำหนังสือน้อมเกล้าฯ ดิน น้ำ ลม ไฟ เพื่อจำหน่ายแก่ประชาชนในราคาเล่มละ 84 บาท โดยจะแล้วเสร็จและเริ่มจำหน่ายในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ทำให้ทุกคนมีสุขกันโดยถ้วนหน้าจริงๆ

คราวนี้หันมาคุยเรื่องลมฟ้าอากาศกันบ้าง อากาศช่วงนี้ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และตลอดเวลา เพื่อความไม่ประมาท ทุกคนจะต้องรักษาร่างกายให้มีความอบอุ่นอยู่เสมอ ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับให้สนิทจึงเป็นสิ่งจำเป็นและต้องไม่เครียด

เป็นการสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ทำงานดีขึ้น หลังการหลับสนิทอย่างมีคุณภาพ

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำให้โรคไม่ถามหารับประทานอาหารประเภทโปรตีนให้มากขึ้น เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง โปรตีนจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันและซ่อมแซมส่วนที่ขาดหายของร่างกาย และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ผัก ผลไม้ สร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการติดเชื้อ

เรื่องระบบทางเดินหายใจช่วงหน้าหนาว ต้องไม่ให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้ง เพราะจะทำให้เชื้อโรค ฝุ่นละออง เข้าสู่เซลล์ จะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ต้องดื่มน้ำให้มากๆ ทานของที่มีรสเปรี้ยว ทำให้ชุ่มชื่นและช่วยขับเสมหะ เพื่อเพิ่มธาตุไฟให้กับร่างกายควรรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน ซึ่งช่วยในการไหลเวียนของโลหิต ช่วยในเรื่องย่อยอาหาร ท้องไม่อืด

สิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่จะต้องทำขาดไม่ได้คือ การล้างมือ ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่แท้จริงแล้ว จากผลการวิจัย สิ่งนี้ สามารถลดการติดเชื้อจากไข้หวัด

ถ้าป่วยเป็นไข้ขึ้นมาแล้ว สำหรับผู้สูงอายุกว่าจะรักษาให้หายขาดนั้นต้องใช้เวลายาวนาน หรืออาจเกิดอาการดื้อยาก็เป็นได้

เมื่อมีสุขภาพดีกันถ้วนหน้า จะไปไหนมาไหนจะมีความสุข ทั้งกินและเที่ยว เมื่อคุยถึงเรื่องนี้ อยากพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวเมือง ชายฝั่งทะเลตะวันออกใกล้ๆ กรุงเทพฯ นี่เอง ใช้เวลาไปเพียงชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น ซึ่งเมื่อช่วงปีใหม่ได้ใช้เวลาที่ว่างไปกราบขอพร และสวัสดีปีใหม่อาจารย์ที่เคยพร่ำสอนสมัยเป็นนักศึกษา ซึ่งเมื่อ ท่านเกษียณอายุได้กลับถิ่นฐานบ้านเกิด ทำสวนต้นสัก ปลูกต้นไม้ เป็นงานอดิเรก ให้เพลิดเพลินในบั้นปลายของชีวิต ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสิ่งที่ชอบนั่นเอง

จังหวัดชลบุรี หรือที่เรียกกันจนติดปากว่าเมืองชล มีสภาพ เศรษฐกิจที่ดี เป็นเมืองชายทะเลที่มีความสวยงาม

จากประวัติศาสตร์ เมืองนี้มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมเป็นเมืองเล็กๆ หลายเมืองคือ เมืองบางทราย เมืองบางปลาสร้อย และเมืองบางพระ เมืองเหล่านี้รวมเข้าด้วยกันเป็นจังหวัดชลบุรีเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5

จะเห็นได้ว่าพื้นที่จังหวัดชลบุรีนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผืนป่า

ป่าเขาเขียว-เขาชมพู เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่ส่วนหนึ่ง คือสวนสัตว์เปิดเขาเขียวนั่นเอง ป่าชายเลน มีแสมและโกงกาง เป็นพันธุ์ไม้ที่สำคัญและยังเป็นแหล่งแพร่พันธุ์ของสัตว์น้ำเค็ม

พื้นที่ติดหาดทรายชายทะเลอ่าวไทยยาวถึง 160 กิโลเมตร มีต้นน้ำลำธารแหล่งน้ำ คลองเล็กๆ ไหลมารวมกันเป็นคลองใหญ่ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ บางพระ หนองค้อ บ้านบึง อ่างเก็บน้ำบริเวณวัดญาณสังวราราม เต็มไปด้วยเกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น เกาะสีชัง เกาะสาก เกาะล้าน แสมสาร เป็นต้น

แหลมที่เป็นท่าเรือน้ำลึกแห่งแรกของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นท่าเรือพาณิชย์ที่ทันสมัยคือ แหลมฉบัง

นอกจากนี้ยังมีแหลมที่รู้จักอีกมากมาย แหลมแท่น แหลมฟาน

น้ำตก ถ้ำ อันเป็นเอกลักษณ์ทางธรรมชาติให้ได้เยี่ยมชม สำหรับหาดของชลบุรีนั้นน่าเที่ยวมากมาย

หาดพัทยา หาดจอมเทียน ซึ่งมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ทำให้นึกถึงสมัยวัยเรียนและเริ่มทำงานใหม่ๆ มักจะนัดพรรคพวกเพื่อนฝูงไปเที่ยวพัทยา โดยจะมีการรวมตัวกันก่อนออกเดินทางไป ซึ่งต่างคนต่างไป แต่ก่อนเข้าที่พักจะต้องนัดเจอกันที่ร้านพิซซ่า ชายหาดพัทยาเสมอ ซึ่งเมื่อก่อนร้านแบรนด์แฟรนไชส์ยังมีน้อยอยู่

หาดบางแสน ห่างจากตัวเมืองชลบุรีเพียง 10 กว่ากิโลเมตร มีถนนเลียบชายหาด เรียงรายไปด้วยที่พัก ร้านค้า อาหาร มีต้นมะพร้าวปลูกเป็นทิวแถว ให้ร่มเงาบรรดานักท่องเที่ยว เช่าเก้าอี้ผ้าใบนั่งเล่น นั่งพักผ่อน รับประทานอาหาร คอยบุตรหลานเช่าจักรยาน ห่วงยาง บานานาโบ๊ต ลงเล่นน้ำทะเลกันอย่างสนุกสนาน เป็นแหล่งท่องเที่ยวชายหาดที่เป็นที่นิยมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศไม่น้อยกว่า 60 ปีแล้ว

เขาสามมุข ลักษณะเป็นเนินเขาเตี้ยๆ อยู่ระหว่างบ้านอ่างศิลา และบางแสน บนเขาจะมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลบางแสนและแหลมแท่นได้อย่างสวยงาม

บริเวณเชิงเขาเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่เขาสามมุข บนเขา ยังเป็นที่อยู่อาศัยของลิงป่าเป็นจำนวนมาก เขาสามมุขยังเป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดชลบุรีอีกด้วย

ทะเลบางแสนและเขาสามมุขสมัยก่อนไม่ใช่สภาพอย่างที่เห็น ไม่มีความสะดวกสบาย ไม่มีถนนหนทาง ชื่อบางแสนและสามมุขยังไม่ปรากฏ ชาวบ้านพื้นเพแถบนี้จะเรียกกันว่าบ้านอ่างหิน หรืออ่างศิลา นิยายรักเกิดขึ้นเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายโน่น โดยที่หนุ่มแสนลูกกำนันบ่ายแห่งบ้านอ่างศิลา เกิดไปรักกับหญิงกำพร้าสาวสวยนามว่า มุข อาศัยอยู่กระท่อมเนินเขากับยายที่ยากจน

ความรักไม่สมหวังถูกกีดกันจากพ่อฝ่ายชาย แต่ด้วยคำสัญญาว่าจะรักกันนิรันดร์ จนต้องบูชารักด้วยการกระโดดหน้าเขาตายทั้งคู่

หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ชาวบ้านที่ผ่านไปมา โดยเฉพาะในช่วงเวลาพลบค่ำ มักจะพบเจอหนุ่มสาวคู่นี้มายืนอยู่หน้าเขาเสมอ จึงพากันเรียกว่า เขาสามมุข พร้อมทั้งตั้งศาลเพียงตาไว้ให้

ส่วนชายหาดบางแสน กำนันบ่ายผู้พ่อได้ตั้งศาลเพียงตาโดยชาวบ้านเชื่อว่า ความรักของบุคคลทั้งสองมีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อจะมีการออกหาปลากลางทะเล จะมีการจุดประทัดขอให้หาปลาได้มากๆ และคลาดแคล้วจากภัยอันตรายทั้งปวง

และเพื่อไม่ให้เกิดความบาดหมางกันอีกต่อไป จึงขนานนามชายหาดแห่งนี้ว่าบางแสน หรือตำบลแสนสุข ตั้งแต่บัดนั้น

อ่างศิลา หมู่บ้านชาวประมงริมทะเล เป็นชุมชนเล็กๆ หมู่บ้านเพียง 3 แห่งเท่านั้น ต่อมาขยายเพิ่มเป็น 5 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านไทย บ้านกลาง หมู่บ้านเจ๊ก หมู่บ้านบน และหมู่บ้านปากคลองโรงนาค

พื้นที่อ่างศิลาจุดเด่นคือ มีแผ่นศิลาเป็นเนินลาดสูง และชาวบ้านใช้อ่างน้ำหินเก็บกักน้ำฝนไว้ใช้

มีรอยพระพุทธบาทบนก้อนหินขนาดใหญ่เหนือแอ่งน้ำเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้าน เชื่อกันว่าอ่างศิลาคือสถานที่ตากอากาศแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งแต่เดิมเป็นที่สำราญพระอิริยาบถของพระเจ้าอยู่หัวหลายรัชกาล โดยมีสถาปัตยกรรมที่เป็นจุดเด่นคือ ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงให้ปฏิสังขรณ์ในระหว่างที่เสด็จประพาสยุโรป โดยใช้ชื่อว่าตึกมหาราชและตึกราชินี เป็นอาคารโบราณสถาน สะพานหินทางทิศตะวันตก ชาวจีนเดินทางทางเรือสำเภา มาค้าขายพร้อมซื้อสินค้า ณ ตรงนี้

สินค้าพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อได้แก่การทำครกหิน ชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพเข้ามาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้ที่ริเริ่มนำหินที่มีเนื้อละเอียดที่มีอยู่มาก นำมาแกะสลักหินและถ่ายทอดสู่คนในท้องถิ่นในที่สุด

ปัจจุบันไม่สามารถเปิดบ่อหินให้ขุดเจาะเหมือนเดิมได้ เพราะที่ดินที่อยู่ใกล้ทะเลล้วนมีเจ้าของทั้งสิ้น

หินที่ใช้ทำครกในปัจจุบันจะมาจากสระบุรี พะเยา โดยเฉพาะนำมาจากเมืองตาก ถ้าเป็นหินจากอ่างศิลาแล้ว จะมีความแข็งแกร่ง เมื่อลองเอาน้ำเช็ดลูบจะเห็นความละเอียดในการซึมซับ น้ำของเนื้อหิน ผิวเรียบเนียน ลูบไม่สะดุดมือ เมื่อโดนแดดจะเกิดประกาย ครกสีขาวๆ คือหินอ่างศิลา อย่างไรก็ตาม หินที่ไหนก็แล้วแต่ แต่ยังคงใช้ช่างฝีมือของอ่างศิลาทั้งสิ้น

สิงโต โม่ และครกหินนี้ เป็นผลิตภัณฑ์หลักของอ่างศิลา ทำกันมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์

นอกจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้แล้ว อ่างศิลายังเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหอยนางรมและหอยแมลงภู่ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะแวะมาซื้อหาติดไม้ติดมือกลับบ้านอยู่เสมอ

หอยนางรมเป็นอาหารทะเลที่ผู้คนนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หอยนางรมมีอยู่หลายสายพันธุ์คือ หอยนางรมปากจีบ หอยตะโกรม ที่ค่อนข้างมีขนาดใหญ่ และหอยตะโกรมกรามดำ นิยมเลี้ยงกันในแถบจังหวัดภาคใต้ พบ อยู่ทั่วไปบริเวณน้ำตื้นท้ายเกาะ ชายฝั่งทะเล แหล่งน้ำที่มีอาณาเขต ติดต่อกับทะเล

เนื้อหอยนางรม นอกจากจะรับประทานแบบสดๆ แล้ว ยังสามารถนำไปทำอาหารแปรรูปได้หลายอย่าง หอยนางรมดอง รมควัน หรือนำไปสกัดเป็นน้ำมันหอย

ส่วนเปลือกหอยนำไปทำเป็นปูนขาว ใช้ประโยชน์ในงานก่อสร้าง เกษตร และอุตสาหกรรมหลายประเภท

หอยนางรมอุดมไปด้วยวิตามินเอ บีหนึ่ง บีสอง บีสาม ซี และดี หากบริโภคหอยนางรมตัวขนาดกลาง 4-5 ตัว จะทำให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุประเภทเหล็ก ทองแดง ไอโอดีน แมกนีเซียม แคลเซียม สังกะสี แมงกานีส และฟอสพอรัส แต่ต้องมีความระมัดระวังในการรับประทาน หากทานดิบอาจจะมีแบคทีเรีย พยาธิปากขอ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคตับ มะเร็ง โรคระบบภูมิคุ้มกัน ควรงดรับประทานแบบสดๆ

หอยนางรมเป็นหอยทะเลที่มีกาบ 2 ฝา ซึ่งหนาและแข็ง ขนาดจะไม่เท่ากัน กาบบนใหญ่และแบนกว่ากาบล่าง กาบล่างมีลักษณะโค้งเว้า จะเป็นส่วนที่มีตัวหอยติดอยู่

สำหรับในเรื่องรสชาติจะขึ้นอยู่กับถิ่นที่อยู่อาศัย แหล่งเพาะเลี้ยง หอยนางรมที่พบในประเทศไทยจะวางไข่ตลอดปี จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับชนิดและแหล่งที่อยู่อาศัย หอยนางรมปากจีบขนาดเล็กที่อ่างศิลา จะมีการวางไข่ถึง 3 ช่วง คือระหว่าง เดือนมีนาคม-เมษายน มิถุนายน-กรกฎาคม และกันยายน-ตุลาคม

หอยนางรมนับเป็นเนื้อสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่ถือเป็นอาหารเจในช่วงเทศกาลกินเจ ตามประวัติเล่าไว้ว่า เจ้าแม่กวนอิมเกิดหิวในระหว่างการเดินทาง และเจอทะเลจึงได้เอ่ยปากออกไปว่า ตอนนี้หิวมากมีสัตว์อะไรที่สามารถทานได้บ้าง หอยนางรมได้ลอยขึ้นมาให้เจ้าแม่กวนอิมได้รับประทาน

สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล อยู่ติดกับมหาวิทยาลัยบูรพา มีเนื้อที่กว่า 30 ไร่ ภายในแบ่งออกเป็น 3 ส่วน พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล สถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม มีสัตว์ทะเลนานาชนิดจัดแสดงไว้ และห้องปฏิบัติการวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล

ตลาดหนองมน ริมถนนสุขุมวิท เมื่อพูดถึงทุกคนจะนึกถึง ข้าวหลามหนองมน ห่อหมก ทอดมัน หอยจ๊อ ขนมจาก และผลิตภัณฑ์แปรรูปทางการเกษตร กล้วยฉาบ เผือก มัน หรืออาหารทะเลแปรรูปต่างๆ มากมาย แต่มาที่นี่ทั้งทีต้องคุยเรื่องข้าวหลามที่ไม่เป็นสองรองใคร

มีพระภิกษุรูปหนึ่งเดินธุดงค์ไปในหมู่บ้านเล็กๆ ของจังหวัด ชลบุรี และได้ปักกลดค้างแรมใกล้บริเวณริมหนองน้ำ ขณะเดียว กันหมู่บ้านแห่งนี้และใกล้เคียงกำลังเกิดโรคระบาดอย่างรุนแรง มีผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก แม้ชาวบ้านจะพยายามให้หมอ กลางบ้าน หมอยาสมุนไพร แต่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ทำให้ชาวบ้านเกิดความวิตกกังวล จึงอาราธนาพระธุดงค์ให้มาทำพิธีปลุกเสกน้ำมนต์เพื่อไปดื่มกิน และประพรมผู้เจ็บไข้ได้ป่วยปรากฏโรคมลายหายไปสิ้น ทำให้ตำบลข้างเคียงพากันมารักษาด้วย ทำให้น้ำมนต์ไม่เพียงพอ ชาวบ้านจึงขุดพื้นดิน ณ บริเวณนั้นทำพิธีปลุกเสกโดยหยดเทียนลงไปในหนองน้ำนำไปดื่มกินและเกิดหายป่วยด้วยความศรัทธา เมื่อพระธุดงค์ได้จากไปที่อื่น ชาวบ้านพากันอพยพมาอยู่ใกล้หนองน้ำกลายเป็นหมู่บ้านใหญ่ ส่วนบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ นานๆ เข้ากลายเป็นหนองน้ำใหญ่ ชาวบ้าน พาเรียกว่า “หนองน้ำมนต์” และเรียกชื่อหมู่บ้านตามชื่อหนองน้ำ ก่อนจะกลายมาเหลือเพียง “หนองมน”

ชาวบ้านหนองมนมีอาชีพทำไร่ ไถนา เมื่อหมดหน้านาจะเผาข้าวหลามกินกันตามมีตามเกิด โดยนำข้าวเหนียวไปแลกน้ำตาล และมะพร้าว ส่วนไม้กระบอกไปตัดมาจากเขาบ่อยา และทำขายในงานประจำปีศาลเจ้า โดยมีการขายอ้อยควั่น ถั่วคั่วด้วย ซึ่งมีอยู่ไม่กี่เจ้า

ต่อมามีการตัดถนนสุขุมวิทสายเก่า ทำให้คนมาเที่ยวบางแสนกันมากขึ้น เกิดร้านค้าเรียงรายริมถนนมากมาย

วิธีการทำข้าวหลามแบบหนองมน เริ่มจากการแช่ข้าวเหนียวโดยใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงู ข้าวเหนียวจะเหนียวนุ่มพอดีไม่เป็นก้อน จะไม่แข็ง เมื่อใส่เกลือ น้ำตาล จะบีบรัดข้าวเหนียว แช่ถั่วดำไว้ก่อน นำข้าวเหนียวไปต้มให้สุก ใส่กะทิที่ผสมเกลือ น้ำตาล คลุกให้เข้ากัน นำไปใส่กระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ก่อนนำไปเผา เผาแบบโบราณใช้ฟืน หรือเผาแบบสมัยใหม่ใช้เตาแก๊ส

ตำนานข้าวหลามหนองมน ร้านแม่เผือ และร้านแม่เหมือน หรือคนส่วนใหญ่จะรู้จักในนามข้าวหลามจอมพล เนื่องจากในสมัยจอมพลสฤษดิ์ และนายพลเนวินแห่งประเทศพม่า เคยเรียกทั้งแม่เผือและแม่เหมือนไปเผาข้าวหลามให้รับประทานมาแล้ว

ปัจจุบันรุ่นลูกรุ่นหลานได้สืบทอดกิจการ รสชาติ เค็มมัน หวานน้อย รักษาสูตรดั้งเดิมไว้ทุกขั้นตอน มีไส้เผือก ไส้ถั่ว

ปัจจุบันข้าวหลามหนองมนยุคใหม่ สูตรใหม่ รสชาติใหม่ๆ เช่นแม่เจริญ ปรับไปตามความนิยมของยุคสมัย โดยคิดค้นปรับเปลี่ยนรสชาติ อุปกรณ์การผลิต กลายเป็นข้าวหลามไส้สังขยา ไส้ชาเขียว ข้าวหลามสอดไส้ ทำยากสลับซับซ้อน ใช้เทคนิคจังหวะเวลา การใส่ไส้ระหว่างเผา ต้องมีการควบคุมการผลิต ตั้งแต่การตัดกระบอกไม้ไผ่เป็นป้อง คั้นกะทิ จนกระทั่งถึงการวางขาย แต่แม่ค้าข้าวหลามต่างมีความวิตกกังวลว่าอนาคตไม้กระบอกไผ่ที่จะมาทำข้าวหลามนั้นจะขาดแคลนได้ในอนาคต ฉะนั้นอาจจะได้เห็นภาชนะอื่นมาใส่แทนก็เป็นได้

นอกจากข้าวหลามหลากหลายไส้ที่ขึ้นชื่อลือชาแล้ว ตลาด หนองมนยังเป็นขวัญใจของนักชอปของกินมีให้เลือกซื้อมากมาย ทั้งอาหารหวาน อาหารทะเลสด แห้ง ดอง กุ้ง หอย ปู ปลา ขนมหม้อแกง จะเห็นวางขายทุกแผง ทุกร้านค้า ขนมจาก กล้วย ฉาบ มันฉาบ เผือกฉาบ ทอดมัน หอยจ๊อ ห่อหมก ซื้อกลับบ้านรับประทานได้เลย

เมื่อขับรถไปอีกเล็กน้อย จะถึงสถานที่ที่เรียกว่าบางพระ สำหรับประวัติของตำบลบางพระนี้ เคยมีฐานะเป็น “เมืองบางพระ” แต่อยู่ที่ตำบลบางละมุง และเป็นอำเภอบางพระ เมื่อปี พ.ศ.2437 ในสมัยรัชกาลที่ 5

เมื่อปี 2446 ได้ย้ายอำเภอบางพระไปอยู่ที่ศรีราชา และได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอศรีราชา เมื่อ พ.ศ.2460 เคยเป็นฐานทัพเรือก่อนที่จะไปอยู่ที่สัตหีบ เมื่อเดินทางถึงอำเภอศรีราชา เมื่อในสมัยรุ่นคุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ เวลามาแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดชายทะเลภาคตะวันออก ไม่ว่าจะมาพัทยา สัตหีบ ระยอง ตราด จันทบุรี จะต้องแวะรับประทานอาหารที่อำเภอศรีราชา ตรงแถวที่เรียกกันว่าแหลมฟาน ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 70 กว่าปีขึ้นไปได้เล่าว่าตอนอายุเพียง 10 ขวบเศษ ตรงบริเวณแหลมฟานนี้เป็นแหล่งที่มีปลาฉลามชุกชุมมาก อาจจะเป็นเพราะผู้คนยังน้อย ความสมบูรณ์ในเรื่องสภาวะแวดล้อมยังเต็มร้อย ถึงกับมีข่าวว่านักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศชะตาขาดถูกฉลามลากไปกินจนถึงแก่ความตาย

แหลมฟานเดิมเป็นหมู่บ้านชาวประมง ปัจจุบันคือที่จอดเรือประมงและขายอาหารทะเลสด

เมื่อผ่านปากซอยจะมีร้านศรีราชาพาณิชย์ ผู้ผลิตซอสพริก ศรีราชาอันโด่งดัง ซอสพริกศรีราชานี้มีเอกลักษณ์ที่เป็นของตัวเอง คือสีส้ม รสชาติออกเปรี้ยว เผ็ดแต่จะมีรสอมหวาน กล่าวกันว่า นี่คือซอสพริกต้นตำรับ ผลิตอยู่ที่นี่ ปัจจุบันได้กลายเป็นตำนานไปเรียบร้อยแล้ว

หลังจากขายสูตรไปให้เจ้าอื่นและอพยพครอบครัวไปอเมริกา แล้ว ซึ่งมีตำนานมากว่า 60 ปีและรู้จักกันอย่างแพร่หลายไม่น้อยกว่า 30 ปี

สำหรับส่วนผสมของซอสพริกศรีราชา มีพริกชี้ฟ้าแดง กระเทียม น้ำตาล เกลือ น้ำส้มสายชูกลั่น และน้ำบริสุทธิ์

บริเวณที่เรียกว่าแหลมฟานจะเป็นที่ตั้งของร้านอาหารที่มีชื่อเสียง ทั้งสด ใหม่ รสชาติอาหารอร่อยถูกปากและบรรยากาศ ดีอีกด้วย ร้านจะมีตัวเรือนยื่นลงสู่ทะเลเหมือนเราได้ไปลอยอยู่กลางทะเล สะดุดตาด้วยโครงสร้างสถาปัตยกรรมไทยผสมตะวันตก มีบานเฟี้ยมเปิดรับลมได้โดยรอบ

ทราบว่าอดีตคือที่พำนักของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ซึ่งขณะรับราชการได้รับพระราชทานที่ดินครอบครองที่ศรีราชาแห่งนี้ ตกทอดมาถึงทายาทพัฒนาจนกลายเป็น grand Seaside ของสุริยน ไรวาในปัจจุบัน

เมื่อพูดถึงผลไม้ที่มีชื่อของศรีราชาไม่น้อยหน้าไปกว่าแหล่งปลูกที่อื่นหรือพันธุ์อื่นเลย คือสับปะรดศรีราชา หรือพันธุ์ปัตตาเวียนั่นเอง

สับปะรดเป็นพืชล้มลุก มีต้นกำเนิดจากทวีปอเมริกาใต้ ปลูกง่าย ทางภาคกลางเรียก สับปะรด ภาคใต้เรียกยานัด ย่านนัด ขนุนทอง ภาคเหนือเรียกมะนัด มะขะนัด บ่อนัด หรือภาคอีสานคือบักนัด สับปะรดจะช่วยย่อยโปรตีนไม่ให้ตกค้างในลำไส้ มีเกลือแร่และวิตามินซีอยู่เป็นจำนวนมากและยังช่วยบรรเทาอาการแผลเป็นหนอง ขับปัสสาวะ แก้ร้อนในกระหายน้ำ อาการบวมน้ำ บรรเทาอาการโรคบิด ท้องผูก เป็นยาแก้โรคนิ่ว และแก้ส้นเท้าแตก

นอกจากพันธุ์ที่ปลูกที่ศรีราชา ยังมีอีกหลายพันธุ์ซึ่งส่วนมากจะปลูกบริเวณพื้นที่ใกล้ทะเล เพราะชอบขึ้นในดินร่วน ดินร่วน ปนทราย ดินปนลูกรัง ดินทรายชายทะเล และที่ลาดเชิงเขา พันธุ์ อินทรชิตคือสับปะรดพันธุ์พื้นเมือง พันธุ์ขาว พันธ์ภูเก็ต หรือพันธุ์สวี พันธุ์นางแล หรือพันธุ์น้ำผึ้ง พันธุ์ตราดสีทอง

สวนเสือศรีราชา ใช้ทางหลวงหมายเลข 3241 เป็นสถานที่ ท่องเที่ยวประเภทสวนสัตว์ มีฟาร์มเพาะเลี้ยงเสื้อโคร่งพันธุ์เบงกอล ฟาร์มจระเข้ และสัตว์อื่นๆ นานาชนิด มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเข้าชมตลอดเวลา โดยจะเห็นการอยู่ร่วมกันของเสือ หมู และสุนัข มีการแสดงการจับจระเข้ ละครสัตว์

สวนผีเสื้อสายทิพย์ หากไปจากถนนสุขุมวิท แยกเข้าบริเวณ ตลาดบางพระ ทางไปสวนสัตว์เขาเขียวนั่นเอง เป็นสวนผีเสื้อที่ใหญ่ มาก ภายในมีส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเกี่ยวกับวงจรชีวิตของ ผีเสื้อ ชนิดของผีเสื้อ ฟาร์มผีเสื้อ ท่ามกลางไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูก ไว้อย่างสวยงาม ผีเสื้อหลากหลายพันธุ์ที่เพาะเลี้ยง ผีเสื้อเอ็ดเวิร์ด เป็นผีเสื้อท้องถิ่นขนาดใหญ่มีลวดลายที่สวยงาม

สวนสัตว์เขาเขียว จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2517 เนื้อที่กว่า 5,000 ไร่ โดยการฟื้นฟูสภาพป่าเขาเขียวที่เสื่อมโทรม และได้นำสัตว์บางส่วนจากสวนสัตว์ดุสิตมาปล่อยเลี้ยงไว้ตามสภาพธรรมชาติ โดยมีการแบ่งเป็นส่วนวิจัยและศึกษาพันธุ์สัตว์ป่าหายาก สวนสัตว์เปิดและส่วนบริการ

สวนสัตว์เปิดเขาเขียว เป็นป่าแห่งเดียวของชลบุรี ดำเนินงานโดยองค์การสวนสัตว์ นักท่องเที่ยวจะได้ชมสัตว์มากถึง 300 ชนิด ทั้งสัตว์ของไทยและจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นช้าง กระทิง วัว แดง ฮิปโปโปเตมัส ชะนี ค่าง ลิงลม (นางอาย) ม้าลาย ยีราฟ นกกระจอกเทศ ไฮยีนา เสือ สิงโต กวางดาว ละมั่ง แพะภูเขา เลียงผา หมี นกยูง นกกระเรียน นกเงือก ฯลฯ ซึ่งสัตว์ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่กว้างขวาง มีการจัดสภาพแวดล้อมให้เป็นธรรมชาติเหมาะแก่อุปนิสัยของสัตว์นั้นๆ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้อย่างใกล้ชิด แต่ก็ยังมีบางส่วน อยู่ในกรงเพื่อกันการหลบหนีและเพื่อความปลอดภัยของตัวนักท่องเที่ยวเอง

จุดเด่นของสวนสัตว์เขาเขียว คือสวนนก ซึ่งสร้างด้วยโครงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยตาข่าย กินพื้นที่ถึง 5 ไร่ ภายในมีเส้นทางเดินขึ้นไป เนินเขาแล้ว วนกลับลงมา มีนกมากมายหลายพันธุ์หลายชนิดส่งเสียงร้องและบินไปมาอยู่ในสวน นกฟลามิงโก้ นก เขียวคราม นกกางเขนแคล นกแต้วแล้ว นกขมิ้น ไก่ฟ้า เป็ดฟ้า และชนิดอื่นๆ อีก นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมชมสัตว์ในเวลากลางคืนอีกด้วย

เกาะลอยศรีราชา เป็นเกาะเล็กๆ ใกล้ชายฝั่ง มีสะพานคอนกรีตเชื่อมระหว่างชายฝั่งเข้าถึงเกาะได้โดยสะดวก บนเกาะมีสวนสาธารณะและสวนเต่าทะเล ด้านใต้ของเกาะมีเนินเขาเล็กๆ ด้านบนมีวัดตั้งอยู่

คนที่ชอบในเสียงเพลงเสียงดนตรี จะคุ้นชินและลึกซึ้ง “สีชัง” ที่ขับขานโดยน้ำเสียงอันไพเราะจับใจของคุณชาย ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ศิลปินแห่งชาติ

เกาะสีชัง เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดชลบุรี อยู่ห่างจากฝั่งอำเภอศรีราชาประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นที่จอดพักเรือสินค้านานาชนิด มีความเงียบสงบและความเป็นธรรมชาติ ชุมชนเกาะสีชังอยู่ทางด้านตะวันออกของเกาะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางด้วยสามล้อเครื่องหรือสกายแล็ปไปยังจุดอื่นๆ บนเกาะสีชัง

ห่างจากท่าเรือมาทางใต้ของเกาะ คือพระจุฑาธุชราชฐาน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 สำหรับเป็นที่ประทับในฤดูร้อน ภายในบริเวณมีสภาพภูมิทัศน์ที่สวยงาม ด้านหน้าเป็นชายหาดท่าวังถัดขึ้นไปเป็นตึกวัฒนา พระตำหนักปั้นหยา เรือนไม้ลวดลาย ขนมปังขิง ตึกผ่องศรี หรือศาลาแปดเหลี่ยม ตึกอภิรมย์ และวัดอัษฎางค์นิมิตบนยอดเขา ก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป

สำหรับพระราชวังที่ทำด้วยไม้สักได้รื้อไปสร้างเป็นพระที่นั่ง วิมานเมฆในกรุงเทพมหานคร

การมาชลบุรีในครั้งที่มีเวลาไม่มากนัก เพราะต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งเพื่อความเป็นสิริมงคลไปกราบขอพรเนื่องในโอกาสปีใหม่ และเชิญท่านไปรับประทานอาหารเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณที่ทำให้เราได้มีความรู้มาใช้ในการทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้จนทุกวันนี้ ซึ่งได้อิ่มเอิบทั้งผู้รับและผู้ให้ตลอดปีใหม่นี้ด้วยวัฒนธรรมแบบไทยๆ ไงเล่าครับ


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.