|
Big Move ธุรกิจบันเทิง-เพลงปี 53
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(7 มกราคม 2554)
กลับสู่หน้าหลัก
ธุรกิจบันเทิง-มิวสิกในปีนี้ จัดเป็นปีที่มีการปรับตัวครั้งใหญ่อีกครั้ง หากเอ็กซเรย์ผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจ 2 ค่ายใหญ่ “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ VS อาร์เอสฯ” แล้ว ยิ่งเห็นภาพความสะท้อนที่เด่นชัดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องมาเจอมรสุมลูกใหญ่อย่าง วิกฤตการเมือง-ม็อบ เสื้อแดงมาตั้งแต่ต้นปีกระทั่งสิ้นสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม ยิ่งซ้ำเติมธุรกิจหนักขึ้นไปอีก จากเดิมที่มีอุปสรรคใหญ่ดั้งเดิมที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบหนักสุด คือ ปมปัญหาเทปผีซีดีเถื่อนละเมิดลิขสิทธิ์ที่สกัดทางธุรกิจดาวรุ่งนี้อย่างยือเยื้อยาวนานหลายปี ทำให้ตลาดซีดี-ดีวีดีเพลงไทยหดตัวลงอย่างยากพลิกฟื้น
ครึ่งปีแรก พิษม็อบแดง-กำไรหด
ในครึ่งปีแรกนั้น ความเคลื่อนไหวเด่นของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ หนีไม่พ้น การได้รับผลกระทบประเดิมรับพิษทางการเมืองของม็อบเสื้อแดง ทำให้กำไรลดลงถึง 26 เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าในช่วงเดียวกัน หรือคิดเป็นกำไรสุทธิ 231 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 6 เปอร์เซ็นต์หรือ คิดเป็นตัวเลขประมาณ 4,016 ล้าน เนื่องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทำให้มีการเลื่อนกิจกรรม คอนเสิร์ต รวมถึงการเลื่อนอัลบั้มศิลปินออกไป อีกทั้งรายได้จากการให้บริการดาวน์โหลด Digital Content ลดลง
ทั้งนี้ในกลุ่มธุรกิจเพลง ซึ่งเป็น Core Business (ธุรกิจหลัก) และธุรกิจต้นน้ำของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 40% ของรายได้รวม เริ่มมีสัญญาณชะลอตัว เนื่องจากธุรกิจ Digital ซึ่งเป็นดาวเด่นของกลุ่มธุรกิจเพลงในช่วงหลังแทนที่ Physical Product (Tape, CD, VCD) เริ่มถึงจุดอิ่มตัว
เห็นได้ชัดจาก การเติบโตของจำนวนสมาชิกผู้ใช้บริการดาวโหลดเพลง GRAMMY แบบเหมาจ่ายรายเดือน *123 ที่ได้เริ่มชะลอตัวมีจำนวนสมาชิกอยู่ที่ระดับ 2.5 ล้านราย มาตั้งแต่ปลายปี 52 จนถึงปัจจุบัน แม้ว่าบริษัทจะออก Campaign ใหม่มา เพื่อกระตุ้นการเติบโตของจำนวนสมาชิกดังกล่าวแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ขณะเดียวกันกลุ่มโปรดักส์ประเภท Physical Product ก็ยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่ออย่างเนื่อง อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการฟังเพลงของผู้บริโภค
ฟรีทีวี-ทีวีดาวเทียม ดาวรุ่ง
ขณะที่กลุ่มธุรกิจสื่อ จัดว่า ยังไปได้สวย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'สื่อฟรีทีวี' และมีดาวรุ่งใหม่ 'ทีวีดาวเทียม' แม้ว่าทั้งสองกลุ่มธุรกิจมีรายได้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของรายได้รวม โดย'สื่อฟรีทีวี' มีรายการของบริษัทยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะละครประเภท Sit-com ซึ่งเมื่อต้นปี 53 ที่ผ่านมา ได้มีการปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาจากระดับ 0.33-0.35 ล้านบาท/นาที เป็น 0.35-0.37 ล้านบาท/นาที
ส่วนธุรกิจดาวรุ่งใหม่ คือ ธุรกิจ 'ทีวีดาวเทียม' ปัจจุบันบริษัทเปิดให้บริการจำนวน 4 ช่อง มีแนวโน้มเติบโตดีผลประกอบการเริ่มถึงจุดคุ้มทุนแล้ว 2 ช่อง(Fan TV และ Acts Channel) และอีก 2 ช่อง (Green Channel และ Bang Channel) ก็เริ่มเข้าใกล้จุดคุ้มทุนแล้วเช่นกัน โดยในไตรมาสแรกของปีนั้น บริษัทมีรายได้จากธุรกิจ 'ทีวีดาวเทียม' 67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 6 เท่าจาก 10 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป้าหมายทั้งปี 2553 ของธุรกิจ 'สื่อทีวีดาวเทียม' ของบริษัท คือ มีรายได้ระดับ 100 ล้านบาท/ไตรมาส
“ เรามองว่ากลุ่มธุรกิจสื่อของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตสดใสเนื่องจากบริษัทมีความสามารถใน การแข่งขันสูงในทุกสื่อโฆษณาไม่ว่าจะเป็น 'สื่อฟรีทีวี' 'สื่อวิทยุ' 'สื่อนิตยสาร'และ 'Event' คอนเทนต์ของบริษัทได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในทุกสื่อทำให้คอนเทนต์ของบริษัทเป็นตัวเลือกแรก ๆ ในการเลือกใช้จากผู้ซื้อสื่อโฆษณา นอกจากนี้ ยังมีดาวรุ่งใหม่อย่าง 'ทีวีดาวเทียม' ที่คาดว่าจะเป็นกำลังสำคัญของกลุ่มธุรกิจสื่อของบริษัทในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของกลุ่มธุรกิจเพลงซึ่งเป็น Core Business และธุรกิจต้นน้ำของบริษัทจากการแข่งขันที่สูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะกดดันการเติบโตในอนาคตของบริษัททำให้เรายังคงมองภาพการเติบโตของบริษัทอย่างระมัดระวังและยังต้องติดตามกลยุทธ์ในการผลักดันให้กลุ่มธุรกิจเพลงฟื้นตัวต่อไป” นักวิเคราะห์หุ้นจีเอ็มเอ็มจากค่ายหลักทรัพย์เกียรตินาคิน รายหนึ่งบอก
โละพนง.-2บิ๊กลาออก
รุกMp3สู่ดิจิตอล มิวสิกเต็มรูปแบบ
สำหรับไฮไลท์เด่นในครึ่งปีหลังนี้ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ต้องยกให้ปรากฎการณ์ประกาศยกเครื่องโละพนักงาน โรงงานซีดีกว่า 100 คน รวมทั้งการลาออกของบิ๊กผู้บริหาร 2 คน คนแรก สุเมธ ดำรงชัยธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานสนับสนุนกลางและพัฒนาธุรกิจ หรือซีโอโอ และซีเอฟโอ หรือ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบัญชีการเงิน สิริชัย ตันติพงศ์อนันต์ งานนี้ซีอีโอ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ให้เหตุผลการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า เพื่อรองรับการขยายงานในธุรกิจดิจิตอลและทีวีดาวเทียมในปีหน้า ซึ่งจะมีการลงทุนใน 2กลุ่มนี้อีกมาก
อากู๋ ยังบอกอีกว่า ในปีหน้าบริษัท จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ มีแผนที่จะลงทุนธุรกิจด้วยงบประมาณที่สูงมากกว่าทุกปีที่ผ่านมาในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว เนื่องจากมองว่าภาวะเศรษฐกิจของไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาในทิศทางที่ดีแล้ว อีกทั้งการลงทุนดังกล่าวยังเป็นการรองรับกับการขยายตัวของเครือจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ในการก้าวเข้าสู่ธุรกิจบันเทิงแบบครบวงจรอีกด้วย โดยแนวทางการลงทุนนั้น มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีและเครือข่ายต่างๆ รวมทั้งการแสวงหาพันธมิตรเข้ามาร่วมมือกันมากขึ้นด้วย ไม่ว่าเป็นพันธมิตร ด้านเงินทุน ด้านเทคโนโลยี และด้านคอนเทนต์ รวมทั้งด้านการตลาดด้วย เพื่อให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงจากนี้ไป
“ เหตุผลหลักของการเลือกลงทุนดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อรองรับกับเทคโนโลยีใหม่ที่ก้าวเข้ามาสู่ชีวิตของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น ระบบ 3จี ระบบดิจิตอล ทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี นิวมีเดีย หรือระบบต่างๆ พร้อมทั้งแนวทางการลงทุนสู่ธุรกิจใหม่ควบคู่ไปกับการขยายตัวของธุรกิจเดิม เช่น โชว์บิส มิวสิค เป็นต้น” บอสใหญ่จีเอ็มเอ็ม บอกกับสื่อผู้จัดการรายวัน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ล่าสุดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เตรียมรุกตลาดเพลงปี 2554 ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคดิจิตอล ที่ต้องการความสะดวกสบายและมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน ประเดิมด้วยการเปิดตัว 2 อัลบั้มรวมฮิตในรูปแบบ MP3 เป็นครั้งแรก ได้แก่ Gmm Grammy MP3 : HIT PLAYLIST รวม 50 เพลงสตริงฮิตของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และ แกรมมี่ โกลด์ MP3 บิ๊กฮิต : 50 เพลงลูกทุ่งบิ๊กฮิต จากแกรมมี่ โกลด์ ในวันที่ 23 ธันวาคม 2553 ณ ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น และร้านอิมเมจิ้น ทั่วประเทศ
การรุกตลาด MP3 ครั้งนี้ มีเป้าหมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่นิยมฟังเพลงในรูปแบบ MP3 ในคุณภาพเสียงที่ดีและสะดวกสบายในการฟัง โดยไม่ต้องเปลี่ยนแผ่นบ่อยๆ และยังสามารถเล่นเพลงได้จากเครื่องเล่นเพลงหลากหลายรูปแบบ ทั้งเครื่องเล่น ซีดี / ดีวีดี / เครื่องเล่น MP3 และคอมพิวเตอร์
นอกจากนี้ ยังให้ความคุ้มค่าด้วยจำนวนเพลงที่มีมากถึง 50 เพลงต่ออัลบั้ม ด้วยขนาดไฟล์เสียง BIT RATE 320 kbps. ซึ่งมีคุณภาพใกล้เคียงกับซีดีเพลง โดยมีคุณภาพเสียงเหนือกว่า MP3 ทั่วไปในท้องตลาดที่มีขนาดไฟล์เสียง BIT RATE เพียง 128-256 kbps. เท่านั้น และที่สำคัญคือเป็นสินค้าที่ถูกกฎหมาย ซึ่งจะทำให้ผู้สร้างสรรค์ผลงานเพลง ได้รับค่าตอบแทนจากการจำหน่ายสินค้าอันมีลิขสิทธิ์ถูกกฎหมายอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกด้วย
ปีหน้าเตรียมบุก 2บิ๊กโปรเจกต์
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมี 2 โปรเจกต์ยักษ์ที่ถูกเลื่อนมาตั้งแต่กลางปี ได้แก่ โปรเจกต์ 'Acts Studio' และ 'Bird Animation' คาดจะชัดเจนขึ้นปลายปีนี้ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการประกาศแต่อย่างใด ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่า ผู้บริหารจะเปิดตัว 2 Project ใหม่ของบริษัท คือ 'Acts Studio' และ 'Bird Animation' ในต้นปีหน้าอย่างแน่นอน โดยแหล่งข่าวงนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน บอกว่า ในปีหน้า คาดว่า ผู้บริหารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จะเริ่มต้นที่ Acts Studio' โดยมีแผนลงทุนสร้าง Studio 4 Studio บนพื้นที่ 30 ไร่ เพื่อใช้ในการผลิตรายการของบริษัทเป็นหลัก
รวมทั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตรายการและช่วยลดต้นทุนค่าเช่าStudio ที่บริษัทต้องจ่ายปีละประมาณ 30 ล้านบาท รองรับการเติบโตของธุรกิจทีวีดาวเทียมในอนาคตซึ่งผู้บริหารคาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 2 ปี ตั้งงบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 500 ล้านบาทถัดมาโครงการ 'Bird Animation' การผลิตการ์ตูน Animation เพื่อขายในตลาดโลก (แนวคิดกับตัวการ์ตูน 'Mickey Mouse') เป็นเชิง Music Education เบื้องต้นมีทั้งหมด 52 ตอน ผลิตโดยทีมผู้ผลิตการ์ตูน Animation 'Shelldon' ผู้บริหารคาดว่าจะเริ่มฉายตอนแรกในเดือน ต.ค. 53 ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยเราคาดว่าทั้ง 2 Project น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 53
ปี2011สู่ยุคนิวเจเนอเรชัน โมเดล
นอกจากนี้ บริษัทจะทำการปรับโครงสร้างการบริหารใหม่ โดยจะมีการถ่ายเลือดจากคนรุ่นเก่าไปสู่คนรุ่นใหม่มากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสในการเติบโตก้าวขึ้นสู่ระดับบริหารมากขึ้น ทั้งคนรุ่นใหม่จากคนในองค์กรเอง และมีการรับสมัครเข้ามาใหม่ด้วยจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการดำเนินการแล้ว
“ปีหน้าจะเป็นปีแห่งนิวเจเนอเรชัน นิวบิสซิเนสโมเดลของจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ (New Generaton New Business Model) ที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านการมีรุ่นใหม่เข้ามาบริหารมากขึ้นและการ
ลงทุนที่มากขึ้นด้วย”
สำหรับธุรกิจทีวีดาวเทียม หรือแซทเทิลไลต์ทีวี (Sattellite TV) บอสใหญ่คนเดิมบอกว่า ก็จะยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยจะมีการเพิ่มช่องทีวีดาวเทียมใหม่อีกด้วยหลายช่องตามความต้องการของตลาด คาดว่าจะมีการเพิ่มจำนวนอีก 5 ช่อง หรือรวมเป็น 10 ช่อง จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว 5 ช่อง ที่ผ่านมา ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีพอสมควร และทุกช่องก็ล้วนอยู่ในภาวะที่คืนทุนหรือใกล้คืนทุนแล้ว
“จานดาวเทียม หรือแซทเทิลไลต์ทีวี จะมีแนวโน้มในการเติบโตมากยิ่งขึ้น เพราะว่าความนิยมเริ่มมีมากขึ้น และเป็นสื่อทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค ส่วนเจ้าของสินค้าเองก็อยากลงโฆษณาเพราะว่าต้นทุนต่ำ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดตั้งจานดาวเทียมมากกว่า 3 ล้านจานต่อปีแล้ว” ไพบูลย์ กล่าว
อาร์เอส 2010 ปีแห่งพลัง
บอลโลก+ฟูลลี่ดิจิตอลมิวสิค
ในปีนี้ สำหรับค่ายอาร์เอสฯถือว่า เป็นปีทอง เพราะพลังของ 2 บิ๊กกลยุทธ์ ไม่ว่า ลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกแล้ว ยังมีกลยุทธ์ฟูลลี่ ดิจิตอล มิวสิกได้ส่งผล ทำให้เกมธุรกิจของอาร์เอสเปลี่ยนไปในทางบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลลัพท์ที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี ทำให้ผลการดำเนินงานของ อาร์เอส ในไตรมาสแรกของปีนี้ ทำรายได้รวม 535.1 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 52.1 ล้านบาท สามารถพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร หรือเติบโตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนแบบก้าวกระโดดถึง 211.2 %
เหตุผลหลัก มาจากอานิสงค์ของฟุต'บอลโลก' ช่วยกระตุ้นการเติบโตของกำไรอีกแรงในปี 53 นอกจาก 2 ธุรกิจหลักของ RS จะฟื้นตัวแล้ว (ธุรกิจเพลงฟื้นตัวจากโมเดลธุรกิจใหม่ที่ประสบความสำเร็จและธุรกิจสื่อฟื้นตัวตามการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาในปี 2553) ในปี 2553 RS ยังได้เป็นผู้บริหารลิขสิทธิ์การถ่ายทอด 'การแข่งขันบอลโลก 2010' ในประเทศไทย ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงสร้างรายได้และกำไรในปี 2553 ให้ RS ประมาณ 550 ล้านบาท และ 80 ล้านบาท ตามลำดับ
คาดการณ์ว่า ในปีนี้ 2553 รายได้และกำไรของ RS จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปี 2552 คาดรายได้รวมเท่ากับ 2,914 ล้านบาท เติบโต 34% และกำไรเท่ากับ 340 ล้านบาท เติบโต 349% (มีการปรับประมาณการรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากเดิมคาดเท่ากับ 2,885 ล้านบาทและ 315 ล้านบาท ตามลำดับ หลังจากมีแนวโน้มว่ากำไรในไตรมาส 4/53 ของ RS จะออกมาดีอย่างต่อเนื่องจากที่เป็นช่วง High Season ของธุรกิจบันเทิง)
นอกจากนี้ ยังมาจากธุรกิจหลักของบริษัทฯ คือธุรกิจเพลงและดิจิตอล ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำ ที่เดินหน้าด้วยกลยุทธ์ ฟูลลี่ดิจิตอลมิวสิค สามารถทำตัวเลขปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากความสำเร็จของโครงการ “ซุปเปอร์เหมา *339” ที่ยังคงมียอดดาวโหลดดิจิตอลคอนเทนต์เพิ่มมากขึ้น และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 53 ธุรกิจเพลงและดิจิตอล สามารถทำตัวเลข และสร้างรายได้ แบบทำ New High ได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
“ โมเดลธุรกิจใหม่ ยังช่วยสร้างความมั่นคงให้ธุรกิจเพลง หลังจากที่ RS เปิดตัวแคมเปญ 'ซุปเปอร์เหมา' บริการดาวโหลดเพลงแบบเหมาจ่ายรายเดือน (20บาท/เดือน/เลขหมาย) ตั้งแต่กลางปี 52 ทำให้รายได้จากธุรกิจเพลงของ RS มีความมั่นคงและต่อเนื่องมากขึ้นรวมถึงช่วยลดต้นทุนในการบริหารสินค้าคงเหลือลง เป็นผลทำให้ RS มีผลประกอบการเป็นกำไรอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3/52 มีกำไรมากกว่า 50 ล้านบาท/ไตรมาส จนถึงปัจจุบัน
ล่าสุดในเดือนก.ค. 53 RS มีการปรับอัตราค่าบริการ 'ซุปเปอร์เหมา' เพิ่มขึ้น 45% (29 บาท/เดือน/เลขหมาย) แม้ว่าการปรับราคาดังกล่าวจะส่งผลลบต่อการเติบโตของจำนวนสมาชิกแต่ผู้บริหารระบุว่าในภาพรวมการปรับราคาครั้งนี้ทำให้ RS มีรายได้จากบริการดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10-20%”
ขายเพลงผ่านเว็ปไซต์
ชดเชยรายได้เทป-ซีดีหด
นอกจากนี้ อาร์เอสยังโดดเด่นด้วยการปรับตัวเกาะกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์ก บุกขายเพลงออนไลน์ โดยตัดสินใจเปิดเว็บไซต์ เพลง ดอทคอมรวมเพลงทุกแนว นำร่อง ก่อนปล่อยเว็บไซต์ ซีซ่า เจาะวัยทีนตามหลัง หวังทำเงินชดเชยรายได้จากการขายเทปและซีดีที่ลดลงไม่หยุด งานนี้บอสใหญ่ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด(มหาชน) หรืออาร์เอส ให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาผู้ผลิตเพลงทั่วโลกต่างประสบปัญหายอดขาย เทป และซีดี เพลง ซบเซา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากผู้บริโภคหันไปดาวน์โหลดเพลง MP 3 ละเมิดลิขสิทธิ์ผ่านอินเทอร์เน็ตแทน
ผลกระทบดังกล่าวส่งผลให้อาร์เอสหันมาให้ความสำคัญกับบริการดิจิตอลออ นไลน์ ด้วยการใช้เวลาศึกษาและลงทุนมาตลอดเวลา 4-5 ปี และในปีนี้อาร์เอสเล็งเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเดินหน้าทำธุรกิจ ดิจิตอลออนไลน์เต็มรูปแบบ ด้วยการเปิดกลุ่มธุรกิจ “ออนไลน์บิสสิเนส”(Online business) เพื่อทำการตลาดขายเพลงออนไลน์อย่างเต็มตัว เนื่องจากประเทศไทยมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านพีซี และมือถือมากขึ้น
กลุ่มธุรกิจดังกล่าวจะเป็นการรวมธุรกิจออนไลน์ทั้งหมด คือ เว็บไซต์ เพลง ดอทคอม สำหรับเจาะกลุ่มลูกค้าทั่วไป เว็บไซต์ ซีซ่า ดอทคอม สำหรับลูกค้าวัยทีนมัธยมต้น-มัธยมปลาย รวมถึงเว็บไซต์ สคูลบัส ซึ่งเป็นเว็บไซต์ โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก เพื่อการศึกษาซึ่งจะเปิดตัวในสัปดาห์หน้ามารวมไว้ภายใต้ธุรกิจดังกล่าว
“ สาเหตุที่อาร์เอสหันมารุกตลาดดิจิตอลออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากพบว่ากระแสการดาวน์โหลดเพลงอย่างถูกกฎหมายผ่านออนไลน์ในตลาดโลก เติบโตอย่างน่าสนใจ ดังนั้นอาร์เอสจึงเชื่อมั่นว่าตลาดนี้จะเป็นตลาดที่สามารถเข้ามาชดเชยยอดขาย เทปและซีดีเพลงที่มีแต่จะลดลง ประกอบกับตลาดดิจิตอลออนไลน์เป็นตลาดที่ให้มาร์จิ้นสูง
'วันนี้สำหรับอาร์เอสการมีลูกค้าเข้ามาดาวน์โหลดเพลงเว็บไซต์ของเราอย่างถูก กฎหมายเพียง 1 รายก็ถือว่ากำไรแล้ว เพราะนั่นหมายความว่าเราดึงคนเข้ามาใช้บริการถูกกฎหมายได้ 1คน และที่ผ่านจะโทษผู้บริโภคที่ไปโหลดเพลงละเมิดลิขสิทธิ์ก็ไม่ถูก เพราะเราไม่มีช่องทางการเข้าถึงเพลงที่ง่ายและราคาเหมาะสมให้ลูกค้าใช้เป็น ทางเลือก'
ทั้งนี้อาร์เอสจะเริ่มนำร่องธุรกิจออนไลน์ด้วย เว็บไซต์เพลงดอทคอม เป็นหัวหอกโดยการรีโพซิชั่นนิ่ง (Repositioning) เว็บไซต์ดังกล่าวใหม่ทั้งหมด ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ 'ร้านเพลงออนไลน์ ที่หาโหลดอะไรก็ได้'และเป็นเว็บไซต์มิวสิคโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กแรกของประเทศ ไทย ที่สามารถหา ฟังและโหลดเพลงครบทุกแนว ทั้ง ป๊อบ ลูกทุ่ง เพื่อชีวิต และ อินดี้ พร้อมทั้งหาเพื่อน เพื่อสร้างโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กเป็นของตัวเอง หลังจากนั้นอีกสักระยะหนึ่งอาร์เอสก็มีแผนเปิดตัวเว็บไซต์ซีซ่า ในลักษณะโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก เจาะกลุ่มวัยทีน และปิดด้วยสคูบัสเว็บไซต์เพื่อการศึกษาโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก
ทั้งนี้จากเดิมเว็บไซต์ เพลง ดอทคอม และเว็บไซต์ ซีซ่า ถูกจัดทำขึ้นเพื่อโปรโมทเพลงและมิวสิควิดีโอ ที่ไม่สร้างรายได้เข้าบริษัท แต่ในปีนี้จะเป็นปีแรกที่ธุรกิจออนไลน์จะสร้างรายได้เข้าอาร์เอสประมาณ 107 ล้านบาท โดยรายได้จะเกิดจากการขายมีเดีย และการดาวน์โหลดเพลง มิวสิควิดีโอ แบบเต็มเพลง
สำหรับกลุ่มธุรกิจออนไลน์นั้น บอสใหญ่อาร์เอส เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้รายได้จะสามารถแซงหน้ารายได้จากกลุ่มโมบายล์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่อาร์เอสเข้าไปร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเปิด ให้ดาวน์โหลดเพลง, เสียงเรียกเข้า และเสียงเพลงรอสาย ของอาร์เอส ซึ่งปีที่ผ่านมาอาร์เอสมีรายได้การดาวน์โหลดผ่านมือถือทั้งสิ้น 400 ล้านบาท และในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 530 ล้านบาท
นอกจากการเปิดตลาดออนไลน์แล้ว อาร์เอสยังมีแผนรุกตลาดสมาร์ทโฟนด้วยการนำแอปพลิเคชั่นดาวน์โหลดเพลงของอาร์ เอสไปไว้บนเครื่องสมาร์ทโฟนให้ลูกค้าสามารถเข้าใช้บริการด้วยการโหลดเพลงมาก ขึ้น โดยจะเริ่มต้นทำบนแบล็กเบอร์รี่เป็นแบรนด์แรกในเดือนมี.ค.
สำหรับสถิติ ที่ผ่านมามีการเข้ามาเยี่ยมชมมิวสิควิดีโอผ่านเว็บไซต์ เพลงดอทคอม 2 ล้านคนและในปีนี้เชื่อว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น1 เท่าตัวเป็น 4 ล้านคน ส่วนปริมาณคลิกเข้ามายังเว็บไซต์อยู่ที่วันละ 1.4 แสนคลิก ส่วนสาเหตุที่อาร์เอสสร้างเว็บเพลงดอทคอมเป็นมิวสิคโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก เป็นเพราะกระแสความนิยมมีมากขึ้น ทำให้เห็นว่าการทำเว็บไซต์เพลงให้เป็นโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก จะสามารถเพิ่มลูกเล่นที่น่าสนใจให้สมาชิกมากยิ่งขึ้น
'การทำเว็บไซต์เพลงดอทคอมให้กลายเป็นมิวสิคโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก จะทำให้ผู้ที่เป็นสมาชิกสามารถสร้างกลุ่มเพื่อนในเว็บไซต์เพลงนี้ร่วมกัน โดยสามารถเพิ่มเพื่อนที่ชอบเพลงลักษณะเดียวกัน เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันได้เหมือนเว็บโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กใน ต่างประเทศ'
ปี 2011 คาดธุรกิจมีเดียโตก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้า แม้ไม่มี 'ฟุตบอลโลก' แต่นักวิเคราะห์จากหลักทรัพย์เกียรตินาคิน วิเคราะหว่า อาร์เอส'ธุรกิจทีวีดาวเทียม'จะมีการเติบโต เข้ามาชดเชยในปี 2554 แม้ว่า RS จะไม่มี Content 'บอลโลก' ที่สร้างกำไรอย่างโดดเด่นในปี 53 ประมาณ 80ล้านบาท (คิดเป็นประมาณ 24% จากกำไรรวม 340 ล้านบาท) แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ากำไรของRS จะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้ ลดลงเพียง 13% จากปี 53 มาอยู่ที่ 297 ล้านบาท (เราปรับประมาณการเพิ่มขึ้นจากเดิมคาดเท่ากับ 286 ล้านบาท)
เนื่องจากในปี 2554 ธุรกิจเพลงของ RS จะรับรู้ผลจากการปรับเพิ่มราคาค่าบริการ 'ซุปเปอร์เหมา' อย่างเต็มปี ขณะที่ธุรกิจมีเดียจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากการเติบโตของ 'ธุรกิจทีวีดาวเทียม' ที่ RS จะเริ่มเข้าหาลูกค้ามากขึ้นหลังผลสำรวจจากAC Nielsen ระบุช่องทีวีดาวเทียมของ RS 2 ช่อง (สบายดีทีวี, YOU Channel) ได้รับความนิยมอยู่ในอันดับต้น ๆ และผู้บริหารเตรียมแผนจะเปิดเพิ่มอีก 1 ช่องหลังคุย Concept กับลูกค้าพร้อมให้การสนับสนุน เราคาดปี 54 ธุรกิจมีเดีย (สื่อทีวี, วิทยุและ In-store Media) จะเติบโตกว่า 47% จากปี 53ที่คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจมีเดียที่ 658 ล้านบาท
ด้านความสามารถในการแข่งขันสูง เป็นผู้นำในสื่อหลัก 3 สื่อ (วิทยุ, In-store และ ทีวีดาวเทียม)เมื่อพิจารณาโอกาสในการเติบโตจากความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจมีเดีย RS ถือเป็นผู้นำในสื่อหลัก 3 สื่อ คือ สื่อวิทยุ, In-store และทีวีดาวเทียม ผลสำรวจจาก AC Nielsen ระบุว่าคลื่นวิทยุC O O L 93 ของ RS ได้รับการจัดอันดับความนิยมอยู่ในอันดับ 1 ของกลุ่มคลื่นเพลงสตริงและเป็นอันดับ 3 จากคลื่นวิทยุทั้งหมดทั่วประเทศเป็นรองเพียงคลื่นเพลงลูกทุ่ง 2 คลื่นเท่านั้น
นอกจากนี้ ทางด้านทีวีดาวเทียม ช่อง 'สบายดีทีวี' ได้รับการจัดอันดับความนิยมอยู่ในอันดับ 1 ในกลุ่มช่องรายการเพลงและเป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบกับช่องทั้งหมด ขณะที่ช่อง 'YOU Channel. ได้รับการจัดอันดับความนิยมอยู่ในอันดับ 3 ในกลุ่มช่องรายการเพลงและเป็นอันดับ 6 เมื่อเทียบกับช่องทั้งหมด ส่วนสื่อIn-store Media RS ก็เป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ในประเทศเนื่องจากเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในการบริหารสื่อวิทยุในโมเดิร์นเทรดรายใหญ่อย่าง เทสโกโลตัส, คาร์ฟู, บิ๊กซีและท็อปส์ รายเดียวทั่วประเทศ โดยเฉพาะในสื่อทีวีดาวเทียมที่ปัจจุบันอุตฯ ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเติบโตจึงเป็นโอกาสที่จะสร้างการเติบโตให้กับ RS ในฐานะผู้ผลิต Content บันเทิงรายใหญ่ได้อีกมาก
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|