|
น้ำมันดันเงินเฟ้อพุ่ง - ดอกเบี้ยเพิ่ม รัฐเสกรายได้สู้ เอกชนหวั่นธุรกิจเดี้ยง
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(24 ธันวาคม 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
ราคาน้ำมันกดดันรัฐบาล ตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาทเป็นไปได้ยาก ส่วนดอกเบี้ยจ่อคิวปรับขึ้น เร่งแก้ลำด้วยการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 5% พร้อมดันค่าแรงขั้นต่ำเข้าสู้ นักเศรษฐศาสตร์ประเมินหากภาคประชาชนหันมารัดเข็มขัดมีโอกาสเห็นภาคธุรกิจล้ม
สถานการณ์ช่วงก่อนสิ้นปี แม้ทิศทางการแข็งค่าของเงินบาทจะเริ่มอ่อนแรงลงไปบ้างโดยค่าเงินบาทได้กลับอ่อนค่ามาที่ระดับ 30 บาทอีกครั้ง ช่วยลดแรงกดดันจากภาคการส่งออกไปได้ระยะหนึ่ง แต่สิ่งที่ตามมาจากการอ่อนค่าของเงินบาทคือราคาสินค้านำเข้าจะเริ่มขยับสูงขึ้น สินค้านำเข้าที่ส่งผลกระทบต่อคนไทยมากที่สุดคือน้ำมัน
ราคาน้ำมันได้กลายมาเป็นปัจจัยลบอีกครั้ง หลังจากที่ราคาขายน้ำมันดีเซลในประเทศสูงกว่า 30 บาทต่อลิตร จากผลของค่าเงินบาทที่อ่อนลงและราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มขยับสูงขึ้นตามฤดูกาลที่หลายประเทศในแถบยุโรปและสหรัฐมีอากาศหนาวเย็น
ผลที่จะตามมาคือราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ ย่อมมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นจากต้นทุนที่ส่งต่อมาจากราคาน้ำมัน ตามมาด้วยอัตราเงินเฟ้อที่จะปรับเพิ่มขึ้นตาม และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากหากเงินเฟ้อในประเทศเริ่มปรับตัวสูงขึ้นคือ การนำเอามาตรการด้านดอกเบี้ยมาเบรกภาวะเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย
เพิ่มรายได้สกัดเงินเฟ้อ
นักเศรษฐศาสตร์มหภาคมองว่า ภาครัฐก็มองออกว่าทิศทางของเงินเฟ้อจากนี้ไปจะปรับขึ้น เราจึงได้เห็นรัฐบาลพยายามตรึงราคาสินค้าและต่ออายุมาตรการลดค่าครองชีพออกไป รวมไปถึงการเข้ามาดูแลราคาน้ำมันดีเซลที่จะเป็นต้นทุนของสินค้าหลายรายการ อีกด้านหนึ่งคือการดันให้รายได้เพิ่มขึ้นมาเพื่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้น อีกด้านหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยทางการเมืองที่ในปีหน้าอาจมีการเลือกตั้งครั้งใหม่
เราได้เห็นการคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้มีการขึ้นเงินเดือนข้าราชการเพิ่มขึ้นอีก 5% ที่จะมีผลในเดือนเมษายน 2554 รวมถึงเงินเดือนของฝ่ายการเมือง รวมถึงการขยับขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำเพราะหากเงินเฟ้อสูงขึ้นมาอยู่ที่ 5% การเพิ่มรายได้ให้กับข้าราชการที่ 5% ก็จะชดเชยภาวะที่ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นไปได้
จะเห็นได้ว่ารัฐบาลพยายามที่จะตรึงไม่ให้ปัจจัยต่าง ๆ ไปเร่งกดดันเงินเฟ้อ หากคุมอัตราเงินเฟ้อไม่อยู่ ท้ายที่สุดธนาคารแห่งประเทศไทยก็อาจจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ โดยการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งต่อไปในวันที่ 12 มกราคม 2554 มีความเป็นไปได้สูงที่อาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ไปอยู่ที่ระดับ 2.25%
น้ำมัน - QE3 หลอน
เขากล่าวต่อไปว่า สิ่งที่น่าหนักใจคือราคาน้ำมันที่เราควบคุมได้ยาก ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของฤดูกาล สภาพอากาศที่หนาวเย็นมากกว่าเดิม ทำให้มีการใช้พลังงานมากขึ้น รวมถึงการเข้ามาของนักเก็งกำไรในตลาดน้ำมันล่วงหน้า ที่มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นผลมาจากมาตรการ QE2 ของสหรัฐที่อัดเงินเข้าสู่ระบบอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ และนักลงทุนจากแถบยุโรปที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจจนบางประเทศต้องขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) เมื่อเกิดการด้อยค่าของทรัพย์สินและผลตอบแทนจึงโยกเงินเข้าสู่ตลาดล่วงหน้าอย่างน้ำมัน ทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ
จาก 2 แรงบวกจึงทำให้มีผู้เข้ามาลงทุนในตลาดน้ำมันมากขึ้น ซึ่งตลาดนี้จะส่งผลกระทบต่อหลายประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันเป็นหลักโดยเฉพาะประเทศไทย และถ้าในปีหน้าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐยังไม่ฟื้นตัว มาตรการ QE3 อาจถูกนำมาใช้อีกครั้ง เม็ดเงินจำนวนมหาศาลจะไหลเข้ามาในตลาดเก็งกำไรน้ำมันเพิ่มขึ้น
เราได้เห็นกระทรวงพลังงานได้เข้ามาแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงด้วยการลดเงินจัดเก็บเข้ากองทุนน้ำมันลงในน้ำมันหลายตัว ทั้งแก๊สโซฮอล์ 91 และไบโอดีเซล แต่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังปรับขึ้นเรื่อย ๆ ความพยายามตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตรจึงเป็นไปได้ยาก
แม้จะเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้กระทรวงการคลังปรับลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตลง แต่ท่าทีของเจ้ากระทรวงอย่างกรณ์ จาติกวนิช ยังคงไม่ตอบรับต่อแนวทางดังกล่าว เพียงแต่อาจมีการให้ความช่วยเหลือเฉพาะบางภาคส่วนเท่านั้น
ด้านหนึ่งการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่เป็นรายได้หลักลง อาจกระทบต่องบประมาณรายได้ที่อาจทำได้ต่ำกว่าเป้าหากต้องลดภาษีน้ำมันลง และอาจมีผลต่อเรื่องของดุลงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป
พลังงานทดแทนพุ่ง
อย่างไรก็ตามหลังการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลประชาธิปัตย์ กระทรวงการคลังได้เพิ่มเพดานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันขึ้นเป็น 10 บาท หลังจากที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสูงสุดที่ลิตรละ 7 บาทสำหรับน้ำมันเบนซิน 95 และเบนซิน ส่วนดีเซลจัดเก็บ 5.31 บาทต่อลิตร โดยเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันอย่างแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลในอัตราที่ต่ำ เพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาในเวลานี้คือตัวพลังงานทดแทนที่ใช้ในการเติมเพื่อลดการใช้น้ำมันกลับมีราคาแพง อย่างราคาเอทานอลในวันที่ 9 ธันวาคมลิตรละ 27 บาทเศษ เมื่อนำเอาน้ำมันเบนซินทั้ง 95 และ 91 มาผสมจึงทำให้ราคาหน้าโรงกลั่นกลับสูงกว่าราคาน้ำมันปกติ เช่นเดียวกับไบโอดีเซล บี 100 ราคาลิตรละ 42 บาทเศษ
ราคาหน้าโรงกลั่นของเบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ 19.6137 บาท แต่แก๊สโซฮอล์ 95 อี 10 ราคาอยู่ที่ 20.5365 บาทต่อลิตร ยิ่งผสมเอทานอลมากราคายิ่งสูง เช่น แก๊สโซฮอล์ 95 อี 85 ราคาอยู่ที่ 26.0026 บาทต่อลิตร หรือดีเซลหน้าโรงกลั่นที่ลิตรละ 20.5264 บาท หากเป็นไบโอดีเซล บี 5 ราคาอยู่ที่ 20.9762 บาท
แต่เมื่อผ่านสูตรการจัดเก็บภาษี เงินกองทุนต่าง ๆ แล้ว มีกลไกทำให้ราคาน้ำมันในกลุ่มผสมเอทานอลและไบโอดีเซล ถูกกว่าเนื้อน้ำมันเดิม
สำหรับสิ่งที่จะตามมาจากเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น คือ เงินเฟ้อเพิ่มเงินและดอกเบี้ยในประเทศจะเพิ่มขึ้น จะเป็นตัวฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศแย่ลงกว่าเดิม ในส่วนของการขึ้นเงินเดือนข้าราชการทั่วประเทศจะมีผลต่อเงินประมาณรายจ่ายของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นหมื่นกว่าล้านบาท และหากปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจะกระทบต่อภาคธุรกิจที่อาจเจอปัญหาทั้งด้านค่าแรงที่เพิ่มขึ้นและราคาน้ำมัน
ยิ่งถ้าเกิดภาวะที่ประชาชนรัดเข็มขัดกันอย่างพร้อมหน้ากันแล้ว ภาคธุรกิจที่ถูกคุมทั้งราคาสินค้า เจอผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น โอกาสที่จะอยู่รอดคงเป็นไปได้ยาก เมื่อนั้นปัญหาการว่างงานก็จะตามมา
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|