ตลาดคึก+หุ้นขึ้น=ตัวเร่งปฎิกริยาผู้ถือหุ้นใหญ่พาเรดเทขายบิ๊กดีล


ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(24 ธันวาคม 2553)



กลับสู่หน้าหลัก

โอกาสมาราคาหุ้นวิ่ง ผู้ถือหุ้นใหญ่ชิงออกของบิ๊กล๊อต 5ดีลระดับเกินพันล้านบาทเคาะช่วงท้ายปีดัชนีพันจุด กูรูมองเหตุเบื้องหลังของการขายอาจแตกต่างแต่ราคาสูงล่อใจเป็นตัวเร่งปฎิกริยา คาดปีหน้าหากตลาดฯดีก็ยังจะมีบิ๊กดีลออกมาให้เห็นอีกไม่ขาดสาย

จากภาวะตลาดกระทิงในปีนี้ นอกจากราคาหุ้นและดัชนีมีการปรับตัวขึ้นโดยมีวอลุ่มมาจากนักลงทุนทั่วไปแล้ว ยังมีวอลุ่มอีกส่วนหนึ่งจากกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นมาตั้งแต่เริ่มกิจการได้ขายหุ้นของตัวเองออกมาด้วยในลักษณะบิ๊กล๊อต ซึ่งแต่ละตัวที่มีการขายออกมานับได้ว่าเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและแต่ละดีลก็มีมูลค่าระดับพันล้านบาทขึ้นไป

โดยในเดือนสิงหาคม มีรายงานการขายหุ้น บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท(PS) จาก ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ PS ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 23 บาท รวมมูลค่า 2,990 ล้านบาท เดือนตุลาคม มีรายงานการขายหุ้น บมจ.บีอีซีเวิล์ด(BEC) จาก ตระกูลมาลีนนท์ กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ BEC ที่ราคาหุ้นละ 34 บาท รวมมูลค่า 3,783 ล้านบาท เดือนพฤศจิกายน มีรายงานการขายหุ้น บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) จาก กลุ่ม บมจ.บ้านปู(BANPU) ผู้ถือหุ้นใหญ่ RATCH ที่ราคาหุ้นละ 33 บาท เดือนธันวาคม มีรายงานการขายหุ้น บมจ.เสริมสุข(SSC) จาก ตระกูลบุลสุข ที่ราคาหุ้นละ 42 บาท รวมมูลค่า 2,407 ล้านบาท และล่าสุด บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) ก็ได้ขายหุ้น บมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH) ที่ราคาหุ้นละ 140 บาท รวมมูลค่า 33,041 ล้านบาท

กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย มองว่า แม้จะเป็นการขายออกมาจากผู้ถือหุ้นใหญ่ซึ่งถือหุ้นมาตั้งแต่ต้นเหมือนกันแต่อาจจะมีเหตุผลในการขายที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้สิ่งที่เหมือนกันคือการที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาเยอะมากถือได้ว่าเป็นตัวเร่งที่ทำให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้นคงไม่ขายหุ้นออกไปมากนักตราบใดที่ธุรกิจยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอยู่

ในกรณีการขาย BEC และ PS นั้น มีเหตุผลในเรื่องของการเพิ่มปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาด(Free Float) ขณะที่ราคาได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจจะขาย รวมทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่คงมองว่าธุรกิจใกล้จุดอิ่มตัวแล้วโดยยอดขายบ้านและยอดขายโฆษณาโทรทัศน์ในปีต่อๆไปก็ไม่น่าจะเติบโตมากกว่านี้เท่าใดนัก ส่วนกรณีของ SSC อาจจะต้องติดตามดูความเป็นไปเพื่อเข้าใจถึงเบื้องหลังและหาคำตอบให้ได้มากกว่านี้

ด้านกรณีการขาย PTTCH มองว่า SCC ถือเป็นคู่แข่งกับ PTT เนื่องจากมีธุรกิจปิโตรเคมีที่เหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องการลดบทบาทในการเป็นผู้ถือหุ้นลงเพื่อไม่ให้มีความขัดแย้งจากผลประโยชน์ทับซ้อนกัน (conflict of interest) เนื่องจาก SSC ก็มีธรรมาภิบาลที่ดี รวมถึง SCC ก็มีโครงการที่จะใช้เงินลงทุนต่อเนื่องด้วย แม้ SCC จะไม่ขายหรือไม่ขาย PTTCH ก็มีความสารถที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว จึงคงไม่ใช่ขายเพราะเห็นว่าธุรกิจปิโตรเคมีอิ่มตัว

ขณะที่กรณีขาย RATCH ก็คงไม่ใช่ขายเพราะไม่มีอัตราการเติบโต เนื่องจาก RATCH ก็ยังมีโครงการและการแระมูลงานอยู่ แต่ทาง BANPU คงต้องการโฟกัสไปยังธุรกิจถ่านหินซึ่งเป็นธุรกิจหลักและให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีกว่า

"สำหรับราคาของหุ้นในระยะสั้นอาจโดนกดดันจากปัจจัยการขายบิ๊กล๊อตออกมาของผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ปัจจัยในระยะกลางถึงยาวจะอยู่ที่อัตราการเติบโตของตัวธุรกิจนั้นๆเอง ทั้งนี้การเปลี่ยนผู้ถือหุ้นหรือสัดส่วนการถือหุ้นที่ไม่ใช่การเปลี่ยนเจ้าของหรือตัวผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็จะไม่มีผลต่อผู้บริหารและนโยบายการบริหารของบริษัทให้เปลี่ยนไปเท่าใดนัก"

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ของไทยที่จะได้ประโยชน์จากดีลลักษณะนี้คือ บริษัทหลักทรัพย์ที่มีพันธมิตรโยงใยกับกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศจำนวนมาก อาทิ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร อย่างไรก็ตามในปีนี้มีดีลลักษณะข้างต้นค่อนข้างมากกว่าปีที่ผ่านๆมา และปีหน้าหากภาวะตลาดฯยังดีต่อเนื่องก็มีโอกาสที่จะได้เห็นดีลการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมเพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นในปีนี้อีกก็ได้ รวมถึงอาจจะมีดีลการควบรวมเพิ่มขึ้น และการนำหุ้นออกเสนอขายครั้งแรก(IPO)มากขึ้น เนื่องจากถือเป็นวิธีการกระจายหุ้นให้กับนักลงทุนทั่วไปเหมือนกัน โดยจะมีราคาที่ดีและจังหวะที่เหมาะสมเป็นปัจจัยหลักที่จะสนับสนุน กวีกล่าวสรุป

อนึ่ง จะมีโอกาสมากแค่ใหนที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ซึ่งอยู่กับกิจการของตัวเองมาเป็นระยะเวลายาวนานและรู้จักวัฎจักรความเป็นไปของธุรกิจเป็นอย่างดี จะยอม "ขายหมู"ปล่อยหุ้นในราคาถูกๆให้คนอื่นไปทำกำไรต่อได้ง่ายๆ !?


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.