โกลเด้นไลน์ บิสซิเนส บริษัทในเครือสหฟาร์ม ผู้ผลิตส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ครบวงจร
รายใหญ่ที่สุดของไทย เดินหน้างบลงทุนหมื่นล้านคืบกว่า 70% เพื่อรักษายอดขายโต 30%
ต่อปี ตั้งเป้า 3 ปีข้างหน้ายอดขายยืน 200,000 ล้านตัน ยันไม่สนใจระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์
เพราะธุรกิจครอบครัวคล่องตัวกว่า เน้นพัฒนาคุณภาพสินค้า รักษาต้นทุนต่ำ เพื่อแข่งขันบนเวทีโลก
คาดประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างประเทศ เห็นศักยภาพธุรกิจไทย
นายอัศวิน โชติเทวัญ ผู้จัดการใหญ่ บริษัทโกลเด้น ไลน์ บิสซิเนส จำกัด บริษัทในเครือ
สหฟาร์ม ผู้ผลิตไก่แช่แข็งส่งออกรายใหญ่ที่สุดของไทย เปิดเผย "ผู้จัดการรายวัน"
ว่าการทุ่มงบประมาณลงทุนโครงการผลิตภัณฑ์ไก่ครบวงจร ตั้งแต่ธุรกิจฟาร์มไก่ปู่-ย่าพันธุ์
ฟาร์มไก่พ่อ-แม่พันธุ์ โรงฟักฟาร์มไก่เนื้อ ธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจโรงงานแปรรูป
การผลิตไก่สดแช่แข็ง มูลค่ากว่า 9,299 ล้านบาท
ขณะนี้คืบหน้าการลงทุนกว่า 70% เหลือเพียงโรงงานแปรรูปผลิตไก่สดแช่แข็ง และโรงงานอาหารสำเร็จรูป
ที่จะเสร็จราวกลางปีหน้า ซึ่งจะทำให้บริษัทผลิตเนื้อไก่แช่แข็งส่งออกได้ปีละ 100,000
ตัน ปัจจุบันกลุ่มสหฟาร์มมาร์เกตแชร์ 2% จากมูลค่าตลาดรวมของโลก 5.5 ล้านตันต่อปี
ประเทศไทย สัดส่วนส่งออกอันดับ 4-5 มาร์เกตแชร์ 10% ของตลาดโลก
บริษัทตั้งเป้าขยายตัวยอดขายปีละ 30% 3 ปีแรก การเดินเครื่องกำลังผลิตเต็มที่ปีหน้าเป็นต้นไป
คาดว่าอัตราขยายตัวกำไรไม่ต่ำกว่า 10-15% ภายใน 3 ปี ข้างหน้า บริษัทจะเพิ่มยอดขายได้
200,000 ตันต่อปี
เงินลงทุนที่ใช้โดยทั่วไป จะมาจากกู้ยืม 70% ที่เหลือ 30% ระดมจากกรรมการบริหารและผู้ถือหุ้น
งบลงทุนที่ผ่านมา กู้ยืมจากธนาคารกรุงไทย และนครหลวงไทย ซึ่งให้อัตราดอกเบี้ยระดับตลาด
บริษัทยังได้รับสิทธิภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นำเข้าเครื่องจักร
8 ปี ทำให้ต้นทุนผลิตต่ำ
เมินเข้าตลาดหุ้น
ส่วนการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ ยังไม่สนใจขณะนี้ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันเคลื่อนไหว
เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การที่บริษัทเป็นธุรกิจส่วนตัวจะทำให้การบริหารงานคล่องตัวมากกว่า
ควบคุมต้นทุนผลิตให้ต่ำได้ ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 2,325 ล้านบาท
"โกลเด้น ไลน์ เปิดตัวขึ้นมาจากสภาวะการแข่งขันของโลกที่รุนแรงมากขึ้น บริษัทที่อยู่ได้
ต้องมีต้นทุนที่ต่ำที่สุด ซึ่งสหฟาร์มเองได้ขยายกำลังการผลิตเต็มกำลังตั้งแต่ 8
ปีที่แล้ว การขยายงานเพิ่มเพื่อการผลิตไก่ที่มีคุณภาพ รองรับการแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ"
นายอัศวินกล่าวว่า บริษัทถือเป็นบริษัทผลิตส่งออกไก่แช่แข็งรายใหญ่สุดของไทย
โครงสร้างรายได้หลัก 100% จากการส่งออก ส่วนแบ่งตลาดประมาณ 24% หรือประมาณ 7,000
ตันต่อเดือน ของมูลค่าไก่แช่แข็งส่งออกของไทยเดือนละ 20,000 ตันต่อปี
ตลาดส่งออกหลักอยู่ที่ญี่ปุ่น 45% แถบยุโรป 30% ที่เหลือเป็นกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บริษัทกำลังจะรุกตลาดเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นตลาดที่กำลังซื้อสูงจากเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัว
การแข่งขันธุรกิจไก่แช่แข็งส่งออกแข่งขันกันบนศักยภาพสินค้า ต้นทุนผลิตต่ำ โดยต้องคำนึงถึงประเทศคู่ค้า
เช่น จีน บราซิล ซึ่งถือเป็นคู่ค้าหลัก เพราะต่อไปองค์การการค้าโลก (WTO) จะมีบทบาท
สำคัญเขตการค้าเสรี จึงต้องเตรียมการเพื่อรองรับการแข่งขัน ป้องกันการเสียเปรียบการค้า
สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่การคัดเลือกวัตถุดิบที่ทันสมัย นำวัตถุดิบแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้ามากขึ้น
ลดต้นทุนผลิตให้ต่ำ ที่ผ่านมา 35 ปี สหฟาร์มไม่เคยมีปัญหาห้ามนำเข้าสินค้า
กระทบจากบาทแข็งบ้าง
ส่วนค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่แข็งขึ้น เขายอมรับว่ากระทบบริษัทบ้าง แต่บริษัทป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้แล้ว
เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามสภาวะตลาดและเศรษฐกิจประเทศ
อย่างไรก็ดี บริษัทมีคู่ค้าประเทศในยุโรป ปลาย ปี 2545 เงินยูโรอ่อนค่าลง บริษัทได้รับประโยชน์จากค่าเงินยูโรเช่นกัน
ร่วมงานเอเปก
สำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก เขตเศรษฐกิจ 21 ประเทศที่กรุงเทพฯ 21-22 ต.ค.นี้
บริษัทได้รับความช่วยเหลือจากบีโอไอ เพื่อเปิดโครงการรวมถึงสินค้าโกลเด้น ไลน์
บิสซิเนส ในงานเอเปก อินเวสท์เม้นท์ มาร์ท ที่จะจัดระหว่าง 16-22 ต.ค. ณ อิมแพค
เมืองทองธานี โดยจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของบริษัท และบริษัทในเครือสหฟาร์มทั้งหมด รวมทั้งการแสดงศักยภาพผู้ผลิตคนไทย
ที่พัฒนามากขึ้น ซึ่งเขาเชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ที่จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น