“CPF” ทุ่ม 3 หมื่นล้านใน 5 ปี เน้นลงทุนใน ตปท.ดันรายได้โต 10%


ASTV ผู้จัดการรายวัน(16 ธันวาคม 2553)



กลับสู่หน้าหลัก

ซีพีเอฟ ตั้งงบลงทุน 5 ปี 3 หมื่นล้านบาท เน้นลงทุนในต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนรายได้บริษัทขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% ตลอด 10 ปีข้างหน้า ประเมินตลาดในประเทศโอกาสเติบโตช้า และใกล้อิ่มตัว ตั้งเป้าหมาย 5 ปีนี้ มีรายได้จากธุรกิจต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 50% ของรายได้รวมจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง 27% เล็งซื้อกิจการเพิ่มในเขมร-บังกลาเทศ คาดว่า ข้อสรุปปลายปีนี้

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) เปิดเผยแผนการลงทุน 5 ปีข้างหน้า (2554-2558)บริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยจะลงทุนเป็นการลงทุนในต่างประเทศถึง 60% ของเงินลงทุน ที่เหลือเป็นการลงทุนในไทย เพราะโอกาสการลงทุนในต่างประเทศดีกว่าในประเทศมาก โดยจะเน้นหนักลงทุนในอินเดีย เวียดนาม รัสเซีย และ ฟิลิปปินส์ ซึ่งประเทศเหล่านี้ยังมีการบริโภคเนื้อสัตว์ต่ำ จึงเป็นโอกาสดีที่บริษัทจะขยายตัวต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5-10 ปีข้างหน้า

โดยธุรกิจที่บริษัทจะเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ จะทำธุรกิจสัตว์บกและสัตว์น้ำแบบครบวงจรเหมือนไทยเริ่มตั้งแต่ธุรกิจอาหารสัตว์ ฟาร์มพ่อแม่พันธุ์ และแปรรูปอาหาร ซึ่งจะเป็นหลักในการขับเคลื่อนรายได้ของซีพีเอฟโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10% และมีกำไรสุทธิโต 5-10%ต่อไปอีก 10 ปีข้างหน้า

ด้วยนโยบายการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้สัดส่วนรับรู้รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศจะเพิ่มจากปัจจุบัน 5 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 27% ของรายได้รวมในปีนี้ 1.85 แสนล้านบาท ขยับขึ้นไม่ต่ำกว่า 50% ของรายได้รวมในอีก 5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ เนื่องจากรายได้จากธุรกิจในต่างประเทศมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ขณะที่ธุรกิจในประเทศมีอัตราการขยายตัวเพียง 5%

“ในปีหน้าคาดว่า รับรู้รายได้จากธุรกิจในต่างประเทศโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% ขณะที่ในประเทศมีการเติบโตช้ากว่า เนื่องจากตลาดในประเทศเล็ก ทำให้กำลังการผลิตในประเทศต้องพึ่งพาตลาดส่งออกปีละ 2.5 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้เชื่อว่า ใน 5 ปีข้างหน้า รายได้จากการส่งออกและการลงทุนต่างประเทศไม่ต่ำกว่ารายได้จากในประเทศไทย”

สำหรับปัจจัยเสี่ยงในปีหน้า คือ ราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น บริษัทได้มีการสั่งซื้อกากถั่วเหลืองล่วงหน้าถึงกลางปี 2554 เพื่อเก็บสต๊อกไว้ ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากมีการซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศและส่งสินค้าไปทำให้บาลานซ์กัน

ขณะเดียวกัน ปัญหาโรคต่างๆ ของสัตว์บก ก็เป็นปัจจัยลบที่เราต้องติดตาม รวมไปถึงการจำกัดโควตาการส่งออกไก่แปรรูปจากไทยของอียู อย่างไรก็ตาม ทางอียูอาจเปิดให้มีการนำเข้าไก่สดแช่แข็งได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นโอกาสดีของไทย

นายอดิเรก กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2553 จะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วง low season สำหรับการส่งออกและฤดูหนาวการเลี้ยงให้ผลผลิตค่อนข้างน้อยซึ่งจะต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า

อย่างไรก็ตาม ในปี 2554 มองว่า สินค้ากุ้งจะกลายเป็นสินค้าโดดเด่นและทำรายได้กำไรได้ดี เนื่องจากพื้นที่เลี้ยงกุ้งของโลกลดลงจากภัยธรรมชาติและปัญหาเรื่องโรค เช่น จีน เวียดนาม และแถบอเมริกาใต้ ทำให้ธุรกิจกุ้งไทยในปีหน้ายังโดดเด่นต่อเนื่อง ขณะที่สินค้าไก่ ราคาขายปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้น ส่วนความคืบหน้าการลงทุนในกัมพูชา และบังกลาเทศ คาดว่า จะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้ หรือต้นปีหน้า โดยเบื้องต้นบริษัทได้เจรจากับบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจและมีโรงงานอยู่แล้ว โดยจะเข้าไปซื้อกิจการที่นั่น

น.สพ.สุจินต์ ธรรมศาสตร์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ด้านวิจัยและพัฒนาสัตว์น้ำ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการวิจัยและพัฒนาปลาหยก ซึ่งเป็นปลาสายพันธุ์มาจากแอฟริกาที่มีเนื้อนุ่ม และมีสารอาหารทั้งโอเมกา 3 และคอลลาเจลสูงใกล้เคียงกับปลาแซลมอน คาดว่า ภายใน 3-5ปีข้างหน้า จะนำปลาหยกให้เกษตรกร เพาะเลี้ยงจำหน่ายได้ในต้นทุนราคาที่ไม่สูง เช่นเดียวกับปลาทับทิมที่เป็นที่นิยมของผู้บริโภคในปัจจุบัน


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.