|

แบไต๋ “รถเล็ก” พลิกตลาดยานยนต์ไทย
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(16 ธันวาคม 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
รถไซส์เล็กร้อนแรงสุดๆ หลายแบรนด์ทั้งค่ายยุโรป-ญี่ปุ่น ส่งเก๋งตัวจี๊ดยึดพื้นที่งานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2010 ตอบพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ชอบทั้งประหยัดน้ำมัน และตังค์ในกระเป๋า งานนี้ทั้งคอมแพกคาร์ ยันปิกอัพได้รับแรงสั่นสะเทือนกันถ้วนหน้า ตลาดรถกำลังจะเปลี่ยนโฉม
การประกาศเดินหน้าโครงการรถประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์ ของฮอนด้า พร้อมโชว์รถรุ่นจริงที่ผลิตจำหน่ายในประเทศไทยในชื่อ บริโอ กำลังทำให้ตลาดรถยนต์นั่งขนาดซิตี้คาร์ หรือบีเซกเมนต์มีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด หนำซ้ำค่ายเกิดใหม่อย่างซูซูกิ และหน้าเก่าอย่างมิตซูบิชิ พร้อมเดินหน้าโครงการเพื่อสร้างตลาดเซกเมนต์ใหม่ให้แข็งแกร่ง
ผลสำเร็จของรถยนต์โครงการอีโคคาร์ ของค่ายนิสสัน มอเตอร์ ด้วยรถยนต์รุ่นมาร์ช ทำให้ค่ายรถยนต์อื่นๆ ที่ได้รับอนุมัติการลงทุนผลิตในประเทศจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ มั่นใจได้มากขึ้น จะว่าไปแล้วนิสสันอาจเป็นเหมือนหนูลองยาให้กับค่ายรถอื่นๆ ในทางกลับกัน การบุกตลาดก่อน น่าจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้มากกว่า และที่สำคัญสร้างสร้างส่วนแบ่งตลาดได้ก่อน
ปัจจุบันรถยนต์อีโคคาร์ของนิสสัน มียอดจำหน่ายอยู่ราวเดือนละกว่า 2,000 คัน แต่ข้อเท็จจริงนั้น มีความต้องการมากกว่านี้ แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดในด้านศักยภาพการผลิต ทำให้มีลูกค้าจำนวนมากที่รอการส่งมอบรถจากนิสสันอยู่ราวๆ 3-4 เดือน
ดังนั้น การประกาศตัวอย่างชัดเจนของค่ายฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ที่จะคลอดรถยนต์อีโคคาร์ในชื่อรุ่น ฮอนด้า บริโอ ราวไตรมาสแรกของปี 2554 พร้อมข่มคู่แข่งด้วยราคาอย่างไม่เป็นทางการคันละ 400,000 บาท กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เนื่องจากฮอนด้าถือเป็นแบรนด์รถยนต์นั่งอันดับ 2 ของเมืองไทย มีผลิตภัณฑ์ในทุกเซกเมนต์ของรถยนต์นั่ง การเดินหน้าสู่ตลาดอีโคคาร์ย่อมทำให้คู่แข่งมีความกังวลอยู่พอสมควร
ไม่เพียงการเปิดเผยถึงแผนการผลิต แต่ฮอนด้าฯ ได้นำรถยนต์อีโคคาร์ รูปโฉมจริงที่จะผลิตขายในปีหน้าออกมาแสดงในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27 อีกด้วย ส่งผลให้มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก มีผู้บริโภคหลายรายตกลงใจจะจองฮอนด้า บริโอ ตั้งแต่ยังไม่ออกจากสายการผลิตอีกด้วย
ทากาโนบุ อิโต้ ประธานและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งบินมาเปิดแถลงข่าวถึงโครงการรถอีโคคาร์ด้วยตนเองในประเทศไทย ระบุว่า รถยนต์ที่นำมาแสดงคือ รถยนต์ต้นแบบ (Prototype) ขนาดเล็ก ฮอนด้า บริโอ (Honda Brio) และเป็นการเปิดตัวสู่สายตาทั่วโลกเป็นครั้งแรก เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กสำหรับทำตลาดในภูมิภาคเอเชีย ที่มีขนาดเล็กรองลงมาจากรุ่นซิตี้และแจ๊ซ และจะเริ่มทำตลาดในประเทศไทยเป็นทางการประมาณเดือนมีนาคม ปี 2554 มีราคาประมาณ 4 แสนบาท
ฮอนด้า บริโอ ที่ว่านี้จะทำการผลิตขึ้นในโรงงานประเทศไทยและอินเดีย โดยติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร และมีอัตราสิ้นเปลืองตามกรอบของอีโคคาร์ไม่ต่ำกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับคันที่นำมาเผยตัวในครั้งนี้ เป็นการออกแบบเฉพาะสำหรับประเทศไทย และถือว่าใกล้เคียงกับรุ่นที่ผลิตขายจริง ซึ่งฮอนด้าประกาศแล้วว่า บริโอจะมีความแตกต่างจากอีโคคาร์ของคู่แข่งในเวลานี้คือ นิสสัน มาร์ช ทั้งในด้านจุดเด่นต่างๆ และเรื่องของสมรรถนะ ยังรวมถึงแผนการสื่อสารทางการตลาดด้วย
ในช่วงเวลาเดียวกัน ซูซูกิ ค่ายรถยนต์หน้าใหม่ของเมืองไทย ก็ประกาศถึงความพร้อมของแผนการผลิตรถยนต์อีโคคาร์ออกมาจำหน่ายด้วยเช่นกัน ซูซูกิ ระบุว่า แผนการผลิตอีโคคาร์จากโรงงานที่ได้ลงทุนไปกว่า 7,500 ล้านบาท ที่จังหวัดระยอง มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 90% และคาดกันว่ารถยนต์คันแรกจะออกจากสายการผลิตได้ราวต้นปี 2555 หรืออีกไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า
ปัจจุบัน ซูซูกิ เริ่มหันมาขยายตลาดรถยนต์นั่งอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากเริ่มทำตลาดรถยนต์ในเซกเมนต์รถยนต์นั่งขนาดซับคอมแพกต์ในรุ่นสวิฟท์ ได้พอสมควร และในงาน มหกรรมยานยนต์ ซูซูกิก็ส่งรถยนต์นั่งอีก 1 รุ่นเข้าสู่ตลาด ในชื่อ เอสเอ็กซ์เอ็กซ์-โอเวอร์ ซึ่งเป็นรถครอสโอเวอร์ พร้อมกับการตั้งเป้าหมายเพิ่มโชว์รูมและศูนย์บริการ จาก 41 แห่งในปัจจุบัน เป็น 100 แห่งในอีก 5 ปีข้างหน้า
ขณะที่ค่ายมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เอง ก็เตรียมประกาศถึงความพร้อมในการดำเนินโครงการผลิตรถอีโคคาร์ออกมาด้วยเช่นกัน ข้อมูลจากบรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนหลายๆ รายระบุว่า มิตซูบิชิ อยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์อีโคคาร์ของมิตซูบิชิ นั่นหมายถึง ความพร้อมด้านการผลิต รวมถึงโมเดลที่จะนำมาผลิตแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทย
ด้านผลการสำรวจของ รางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม หรือ TAQA ในปี 2010 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เผยถึงพฤติกรรมผู้บริโภครถยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์นั่งกลุ่มบีเซกเมนต์ และอีโคคาร์ การสำรวจสรุปได้ว่า รถยนต์ขนาดเล็กในปัจจุบันสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้หมด และทำให้ตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ซึ่งรวมถึงรถอีโคคาร์มีการเติบโต และมีการแข่งขันที่สูง
ทั้งนี้ รางวัล TAQA ในปี 2010 นั้นสำรวจโดย บริษัท คัสต้อมเอเซีย จำกัด ร่วมกับองค์กรภาครัฐ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ และกลุ่มสื่อสากล เป็นการสำรวจข้อมูลและความคิดเห็นจากผู้ใช้รถที่มีต่อบริษัทรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ ทั่วประเทศใน 76 จังหวัด ตัวอย่างสำรวจกว่า 7,000 ราย ซึ่งเป็นรางวัลที่สะท้อนถึงดัชนีความพึงพอใจในสินค้าและบริการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ข้อมูลดังกล่าว สนับสนุนถึงทิศทางการเติบโตของตลาดรถยนต์นั่งในกลุ่มบีเซกเมนต์ได้เป็นอย่างดี โดยระบุว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการซื้อรถยนต์ประเภทนี้สูงขึ้นจากอดีต เพราะผู้ผลิตให้ความสำคัญกับรถยนต์ขนาดเล็ก และอีโคคาร์มากขึ้น ทำให้ผู้ซื้อมีทางเลือกและถือเป็นโอกาสของผู้ซื้อ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาแม้จะมีความต้องการ แต่ก็ไม่สามารถหาซื้อมาได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องราคา
ทำให้ต้องหันไปซื้อรถปิกอัพที่สามารถใช้งานได้ทั้งบรรทุกสัมภาระ และโดยสาร ซึ่งให้ประโยชน์ทดแทนกันได้กับรถยนต์นั่งในราคาที่ถูกกว่า
นอกจากนี้จากการที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการรณรงค์ในเรื่องประหยัดพลังงาน ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่ตามเทรนด์ตลอดเวลา รวมถึงกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง หรือมีรถหรูราคาแพงอยู่แล้ว ตัดสินใจหันมาบริโภครถยนต์นั่งขนาดเล็ก และที่สำคัญคือ คุณสมบัติของรถยนต์นั่งเล็ก และอีโคคาร์นั้นให้ความประหยัดสูงกว่า หาที่จอดได้งาน และราคาไม่แพง
ขณะที่ เจ.ดี.พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิค เผยผลการศึกษาในปี 2553 ว่า นอกจากรูปลักษณ์ความสวยโดยรวม ภายนอกตัวรถ ภายในตัวรถ และสิ่งอำนวยความสะดวก ประเภทพื้นที่เก็บของและพื้นที่ว่าง, เครื่องเสียง ความบันเทิงและระบบนำทาง รวมทั้งสมรรถนะในการขับขี่ เครื่องยนต์ระบบเกียร์ทัศนวิสัยและความปลอดภัยในการขับขี่ แล้ว ความประหยัดน้ำมันซึ่งผลวิจัยพบว่ามีผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภค ซึ่งรถยนต์นั่งในกลุ่มบีเซกเมนต์ และรถยนต์อีโคคาร์สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้เกือบทั้งหมด
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|