|
Hard Sale กระเช้าองค์กร ดวลบัตรกำนัลสูงสุด 1 แสนบาท
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(16 ธันวาคม 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
โมเดิร์นเทรด รุกหนักตลาดกระเช้าของขวัญองค์กร เปิดสงครามบัตรกำนัลเงินสด เทสโก้สวมบทพ่อบุญทุ่มให้สูงสุดถึง 1 แสนบาท พร้อมตั้งทีมเซลเคาะถึงหน้าประตูออฟฟิศ ขณะเจ้าตลาดอย่างท็อปส์เทงบ 60 ล้านหวังรักษาแชร์ 40%
ทำท่าซบเซามาพักใหญ่สำหรับตลาดกระเช้าของขวัญในปี 2552-2553 โดยมีมูลค่าลดลง 20% เหลือเพียง 750 ล้านบาท จากเดิมที่มีมูลค่าสูงในแต่ละปีกว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจากการรณรงค์กระเช้างดเหล้า และเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง
แต่ล่าสุดตลาดกระเช้าของขวัญในปีนี้ส่อแววว่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง!
จากการสำรวจของ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ต่อ พบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดกระเช้าของขวัญกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เนื่องมาจากกลุ่มโมเดิร์นเทรดหันมาให้ความสำคัญในการเจาะตลาดองค์กรมากขึ้น เพราะวอลุ่มการสั่งซื้อและความต้องการมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ
เทสโก้ โลตัส เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ต่อบริบทใหม่ของตลาดกระเช้าของขวัญในปีนี้ เมื่อพวกเขาจัดตั้งทีมขายตรงเคาะประตูถึงออฟฟิศเป็นครั้งแรก และยังเพิ่มช่องทางการชมแค็ตตาล็อกสินค้าผ่านเว็บไซต์ ซึ่งลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้ผ่านคอลเซ็นเตอร์ โดยลูกค้าจะได้รับบัตรกำนัลของขวัญมูลค่าตั้งแต่ 200 บาท เมื่อซื้อกระเช้าเป็นจำนวนเงิน 3,500 บาท จนถึงบัตรของขวัญมูลค่า 100,000 บาท เมื่อซื้อกระเช้าเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท
อีกทั้งยังจะได้รับสิทธิ์ลุ้นรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านบาท เมื่อซื้อกระเช้าของขวัญครบทุก 400 บาท โดยราคากระเช้าในปีนี้จะเริ่มต้นต่ำกว่าปีที่แล้ว คือเริ่มต้นที่ 178 บาท ไปจนถึง 3,438 บาท
“จิรนันท์ ผู้พัฒน์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายบริหารจัดซื้อและการตลาด บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ ซูเปอร์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ เดลี่ ในฐานะเบอร์หนึ่ง เจ้าตลาดกระเช้าของขวัญ บอกว่า
ตลาดกระเช้าของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ กลับมาคึกคักอีกครั้งในรอบ 2 ปี คาดว่าในปีนี้ตลาดกระเช้าจะเติบโตได้ 10% หรือมีมูลค่ามากกว่า 830 ล้านบาท โดยเติบโตจากปัจจัยที่เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจที่จะใช้สอยเงินเพิ่มขึ้น และราคากระเช้าโดยเฉลี่ยไม่ได้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นแต่อย่างใด ส่วนในปีก่อน ตลาดกระเช้ามีมูลค่ารวมประมาณ 750 ล้านบาท ติดลบ 20% เป็นผลมาจากกฎหมายกำหนดไม่ให้นำสินค้ากลุ่มแอลกอฮอล์ไปใส่รวมกระเช้า
“ปัจจุบันลูกค้าที่ซื้อกระเช้าของขวัญเป็นกลุ่มลูกค้าองค์กร 20-25% และผู้บริโภคทั่วไป 75-80%โดยในกลุ่มลูกค้าองค์กรซึ่งเริ่มสั่งจองสินค้าเข้ามาตั้งแต่เดือน พ.ย. พบว่ามียอดจองเพิ่มขึ้นกว่า 400% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มตลาดกระเช้าของขวัญตลาดองค์กรในปีนี้จะคึกคักกว่าปีก่อน”
อนึ่ง ท็อปส์ได้ทุ่มงบ 60 ล้านบาท ทำแคมเปญกระเช้าของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ ภายใต้แนวคิด “กิฟต์ การให้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยขาดหาย” โดยจัดกระเช้าสินค้าให้เลือกกว่า 100 แบบ ในราคาเริ่มต้นที่ 470 บาท จนถึงราคา 13,350 บาท พร้อมสิทธิประโยชน์สูงสุดส่วนลดเงินสดทันที 21% คิดเป็นเงินสดมูลค่า 35,000 บาท และสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ รวมส่วนลดสูงสุดถึง 28% คาดว่าจะสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดด้วยการมีส่วนแบ่งตลาดราว 40% โดยเริ่มจัดแคมเปญแล้วตั้งแต่วันนี้-15 ม.ค.54
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของลูกค้าองค์กรนอกจะได้รับส่วนลดและสิทธิประโยชน์ตามปรกติแล้ว ก็ยังมีสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าองค์กรที่สั่งซื้อเข้ามา 350 รายแรก โดยมียอดซื้อ 50,000 บาทขึ้นไป จะได้ตู้เย็นพกพาที่ติดตั้งบนรถฟรีอีกด้วย นอกจากนี้ ท็อปส์ยังร่วมกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในการสร้างสรรค์กระเช้าสุขภาพ ที่มีข้อมูลโภชนาการ พร้อมกับมี Healthy & Delicious Diary ไดอารีพร้อมเมนูอาหารหลากหลายเพื่อสุขภาพจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และบัตรของขวัญรักษ์สุขภาพ มูลค่า 2,065 บาท เพื่อเป็นส่วนลดโปรแกรมตรวจสุขภาพ “Healthy Life”
ด้าน “จริยา จิราธิวัฒน์” รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหาร บิ๊กซี กล่าวว่า ปีนี้บิ๊กซีได้รุกตลาดกระเช้าไปยังกลุ่มบริษัทที่นิยมซื้อสินค้าในปริมาณมาก โดยได้จัดงานแฮมเปอร์ปาร์ตี้เซล เพื่อให้กลุ่มบริษัท ลูกค้าที่สนใจ สามารถชมและเลือกสินค้าและจับจองก่อนใครภายในงาน
โดยเมื่อซื้อครบ 6,000-400,000 บาท รับบัตรกำนัลมูลค่า 500-69,000 บาททันที รวมทั้งยังร่วมมือกับบัตรเครดิตชั้นนำ เปิดโอกาสให้ลูกค้าผ่อนดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 10 เดือน และมีบริการพิเศษส่งทุกที่ที่มีบิ๊กซีในรัศมี 25 กม. สำหรับลูกค้าที่ซื้อกระเช้าปีใหม่ ราคา 3,000 บาทขึ้นไปด้วย
ทั้งนี้ กระเช้าของขวัญบิ๊กซีปีนี้ได้เพิ่มจำนวนกระเช้าปีใหม่ขึ้นเป็น 50 กว่ารายการ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 275 บาทไปจนถึง 9,999 บาท
นอกจากนี้ บริษัทยังเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการใหม่ให้แก่ลูกค้า โดยได้เปิดบริการชอปปิ้งผ่านระบบออนไลน์ในชื่อ www.atbigclick.com จากเดิมทุกปีที่ผ่านมา ทางบิ๊กซีได้จัดจำหน่ายผ่านทางแค็ตตาล็อกและการขายในห้างตามสาขาต่างๆ ของบิ๊กซีเท่านั้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกมากที่สุด
“บริษัทเชื่อมั่นว่ายอดขายกระเช้าในปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะแนวโน้มผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ดีมาก และเศรษฐกิจโดยรวมไม่มีแนวโน้มซบเซาแต่อย่างใด คาดว่ายอดซื้อกระเช้าต่อบิลจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน”
ส่วนคาร์ฟูร์เริ่มแคมเปญกระเช้าของขวัญตั้งแต่ 12 พ.ย.-15 ม.ค. ราคากระเช้าเริ่มต้นที่ 289 บาท สูงสุด 2,250 บาท และกระตุ้นลูกค้าบัตรด้วยบัตรกำนัลเงินสด เมื่อซื้อกระเช้ามูลค่า 4,000-200,000 บาท รับบัตรกำนัลเริ่มต้นที่ 300 บาท สูงสุด 34,000 บาท สำหรับบัตรเครดิตมีโปรโมชั่นผ่อน 0% นานสุด 6 เดือน เมื่อซื้อกระเช้ามูลค่า 1,000 บาทขึ้นไป
สำหรับค้าปลีกรายอื่นๆ นั้น ล่าสุด “บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ได้ทุ่มงบ 50 ล้านบาทจัดแคมเปญ “โฮม เฟรช มาร์ท แอนด์ กูร์เมต์ มาร์เก็ต บลิสฟูล แฮมเปอร์ 2011” ในทุกสาขาของโฮม เฟรชมาร์ท และกูร์เมต์ มาร์เก็ต ภายใต้รูปแบบการคัดสรรสินค้าที่ดีที่สุดจากทุกมุมโลก มีกระเช้าผลไม้ให้เลือกกว่า 100 รูปแบบ วางจำหน่ายราคา 1,000-15,900 บาท พร้อมร่วมกับบัตรเครดิตชั้นนำมอบโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษมากกว่าทุกครั้งสูงสุด 36% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ลดสูงสุด 31% ซึ่งพวกเขาตั้งเป้ายอดขายจากกลุ่มสินค้าซูเปอร์มาร์เกตในไตรมาส 4 นี้เพิ่มขึ้น 10% หรือ 200 ล้านบาท
ส่วนห้างค้าปลีกค้าส่ง อย่าง “แม็คโคร” ก็จัดกระเช้ารับเทศกาลปีใหม่ ที่มีให้เลือกถึง 16 แบบ พร้อมให้ส่วนลดสูงสุด 15% ซึ่งงานนี้ยืนยันว่าให้ส่วนลดเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน และยังเปิดให้ผ่อนชำระดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 4 เดือน ผ่านบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ทุกประเภทเมื่อซื้อกระเช้าสินค้าตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ส่วนลูกค้าเมื่อซื้อครบ 20,000 บาท จัดส่งให้ฟรีถึงบ้านใน กทม. ส่วนลูกค้าต่างจังหวัดซื้อครบ 12,000 บาท จัดส่งฟรีถึงบ้าน
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ตลาดกระเช้าของขวัญในเมืองไทยได้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ผ่านตลาดองค์กรที่มีการสั่งซื้อในวอลุ่มขนาดใหญ่ และมีจำนวนมากขึ้นในทุกๆ ปี
เงินสะพัดปีใหม่ 17,300 ล้าน
ชี้กระเช้าสุขภาพยังร้อนแรง
บริษัท “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ประเมิน มูลค่าการจับจ่ายใช้สอยเงินของประชาชนในช่วงปีใหม่ จะมีเงินสะพัดทั่วประเทศรวม 17,300 ล้านบาท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เงินสะพัดจำนวน 17,300 ล้านบาทในครั้งนี้ มาจากการที่ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยเงินตลอด 6 วันในช่วงเทศกาลปีใหม่ และคนใน กทม.คาดว่าจะออกมาจับจ่ายใช้สอยไม่ต่ำกว่า 5,600 ล้านบาท
เมื่อสอบถามถึงความต้องการซื้อของขวัญปีใหม่แล้วพบว่า คนต้องการซื้อของขวัญเพิ่มขึ้นถึง 4% ขนาดประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีมีสารพัดข่าวลบ ก็ไม่กระทบความรู้สึกของประชาชนที่อยากซื้อของขวัญเพื่อขอตอบแทนความรู้สึกขอบคุณและความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน!
ส่วน “ตลาดรวมของกระเช้าในปีนี้” คาดว่าจะเติบโตขึ้น 10% หรือมีมูลค่ารวมประมาณ 900 ล้านบาท โดยตลาดรวมกระเช้ากลับมาเติบโตได้อีกครั้ง เพราะประชาชนอยากซื้อกระเช้าในจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง
กระเช้าที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าสูงสุด ยังเป็น “กระเช้าเพื่อสุขภาพ” ครองแชมป์ได้รับความนิยมสูงสุดมา 3 ปีแล้ว เพราะคนไทยสนใจดูแลสุขภาพมากขึ้น จึงนิยมซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพ และส่วนใหญ่ไม่นิยมซื้อสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใส่ในกระเช้าแล้ว แตกต่างจากปี 52 ตลาดรวมกระเช้ามีมูลค่า 800 ล้านบาท ติดลบถึง 20% เป็นผลมาจากกฎหมายกำหนดไม่ให้นำสินค้ากลุ่มแอลกอฮอล์ไปใส่รวมในกระเช้า
นอกจากนี้ ผลสำรวจการชอปของผู้หญิงจาก 3 ห้างดัง ได้แก่ เดอะมอลล์, ดิ เอ็มโพเรียม และสยามพารากอน ชี้ชัดว่าช่วงปีใหม่ผู้หญิงอายุ 26-35 ปี เป็นกลุ่มที่ฮอร์โมนการชอปปิงสูบฉีดติดอันดับสูงสุด และสินค้าฮิตติดอันดับขายดีคือ เครื่องสำอาง กระเป๋า รองเท้า นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสินค้าในกลุ่มนาฬิกาไอที กระเช้าของขวัญ และอาหารการกินสำหรับงานปาร์ตี้
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|