3D-POWER TV สเตปสร้างตลาดทีวีโตชิบา


ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(15 ธันวาคม 2553)



กลับสู่หน้าหลัก

โตชิบาเดินเกมการตลาดทีวีครั้งใหม่ครั้งใหญ่ด้วยการปูพรมผลิตภัณฑ์ทั้งทีวี 3 มิติ ทีวีไฮเอนด์ และ Power TV ชูความแตกต่างจากแบรนด์อื่น เจาะขยายฐานผู้บริโภคจากตลาดอาเซียนก่อนสู่ภูมิภาคอื่น ส่วนในไทยเน้นกลยุทธ์เรื่องของราคาสร้างตลาดรับยอดขายพุ่ง 2 เท่า

นักการตลาดต่างวิเคราะห์ว่าแนวโน้มภายในปี 2013 ตลาดโทรทัศน์ 3 มิติ หรือทีวี 3D จะมีอัตราการเติบโตเป็น 2 เท่าตัว มาแรงที่สุดในเวลานี้

“3D เป็นโทรทัศน์ที่ยังมีข้อจำกัดมาก สายตามนุษย์ดู 3D ได้อย่างมากแค่ 2-3 ชั่วโมงก็ปวดตาแล้ว เลยตอบยากว่าจะเติบโตได้แค่ไหน แต่เป็นความต้องการของตลาด โตชิบาก็ต้องเกาะกระแสตลาดไปด้วย สิ่งที่โตชิบาทำคือต้องพัฒนาให้เกิดความแตกต่างให้ได้” ฮิเดโนริ มัสสุอิ ประธาน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าว

มุ่งเจาะอาเซียนเติบโตสูง

วันนี้โทรทัศน์สายพันธุ์ญี่ปุ่นอย่าง “โตชิบา” พร้อมแล้วสำหรับสินค้าโทรทัศน์ 3D ที่กำลังจะส่งลงตลาดอาเซียน และเป็น 3D ที่พัฒนามาไกลกว่าแบรนด์อื่นด้วยการเป็นโทรทัศน์ 3D เครื่องแรกที่ไม่ต้องใช้แว่นตา!

นอกจากนี้ “โตชิบา” ยังวางยุทธศาสตร์ทางการตลาดที่จะเจาะตลาดอาเซียนอย่างครอบคลุมคนทุกกลุ่ม พร้อมตีตลาดในปี 2554 เป้าหมายของโตชิบาคือ ภายใน 5 ปีนี้ โตชิบาจะต้องเป็นบริษัท 1 ใน 4 อันดับแรกในตลาดโทรทัศน์อาเซียน รองจาก ซัมซุง โซนี่ และแอลจี ให้ได้ โดยมุ่งเน้นขยายตลาดอาเซียนเป็นอันดับแรก และเตรียมขยายต่อไปประเทศจีน อินเดีย บราซิล และรัสเซีย เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก ขยายตัวได้สูง

“ยุทธศาสตร์การตลาดของโตชิบาจะเน้นเจาะตลาดกลุ่มประเทศอาเซียนให้มากขึ้น เนื่องจากตลาดมีการเติบโตค่อนข้างดีปีละไม่ต่ำกว่า 20%” โทคุมิทสึ ชิเงโนงิ รองประธาน บริษัท โตชิบา คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าว

เปิดตัวทีวี 4 ซีรีส์เจาะทุกกลุ่ม

โตชิบาได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มของทีวีพร้อมกัน 6 ประเทศในอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย รวม 4 รุ่น ทั้งทีวี แอลอีดีทีวี และแอลซีดีทีวี ด้วยซีรีส์ใหม่ล่าสุด ได้แก่

โทรทัศน์ 3D ที่สามารถดูได้ด้วยตาเปล่าเครื่องแรกของโลก ในซีรีส์ Glasses-free 3D กำลังจะเปิดตัวที่ญี่ปุ่นในเดือนธันวาคมนี้ 2 รุ่นคือ 12GL1 และ 20GL1 ซึ่งทีวีซีรีส์นี้จะเป็นการรับชมโทรทัศน์ 3 มิติโดยไม่ต้องใส่แว่น ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีในการสร้างภาพที่มีความซับซ้อนกว่าปรกติถึง 9 เท่า

ต่อมาคือรุ่น flagship ZL 800 ขนาด 55 นิ้ว รุ่นนี้เป็นความมุ่งหวังของโตชิบาที่จะครองใจตลาดไฮเอนด์โฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ในทวีปเอเชีย ซึ่งรุ่นนี้เป็นโทรทัศน์แบบ LED TV ได้พัฒนามาจาก CELL REGZA ที่มีคุณภาพของภาพคมชัดสูง มีภาพ 3 มิติที่เหมือนจริง ZL 800 นี้จะวางจำหน่ายในเดือนมกราคม 2554 ในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ฯลฯ

ต่อมาคือ โทรทัศน์ LED ที่พัฒนาเป็น 3D และดูด้วยตาเปล่าได้เช่นกัน ได้แก่ WL 700 REGZA ซึ่งเป็นโทรทัศน์ 3D รุ่นแรกของโตชิบา ใน 2 ขนาดคือ 46 นิ้ว และ 55 นิ้ว โดย 46 นิ้ว ราคาประมาณ 9 หมื่นบาท และ 55 นิ้ว ราคาประมาณ 1.2 แสนบาท รุ่นนี้จุดเด่นคือ คุณภาพของภาพ 3 มิติที่สูงมาก และสไตล์การออกแบบก็มีการดีไซน์ร่วมกับ จาคอบ เจนเซ่น ดีไซน์เซ็นเตอร์ ซึ่งใช้วัสดุกระจกและเมทัลมาผสมผสานกัน จึงเป็นอีกรุ่นที่เตรียมเจาะตลาดไฮเอนด์โดยเฉพาะ

POWER TV
ทีวีกวาดชนชั้นกลาง

ซีรีส์สุดท้ายคือ ซีรีส์เพาเวอร์ ทีวี (Power TV) ซึ่งเป็นโทรทัศน์ที่เกิดจากงานวิจัยปัจจัยพื้นฐานในประเทศอาเซียน แล้วนำปัญหามาพัฒนาเป็นทีวีที่ตอบสนองผู้บริโภคในอาเซียนได้เป็นอย่างดี ในเพาเวอร์ทีวี 3 รุ่น คือ PC1, PS1 และ PB1

รุ่น PC1 (Power Charger) เป็นแอลอีดีทีวีที่มีแบตเตอรี่สำรองในตัว โดยแบตเตอรี่เมื่อชาร์จเต็มที่จะทำให้ทีวีสามารถทำงานต่อไปได้อีก 2 ชั่วโมง มีขนาด 24 และ 32 นิ้ว เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีปัญหาความไม่คงที่ของการจ่ายไฟฟ้าหรือไฟฟ้าดับบ่อย

รุ่น PS1 (Power Saver) เป็นซีรีส์ของทีวี LED เช่นเดียวกัน เป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อความสามารถในการประหยัดพลังงาน มี 3 ขนาดคือ 24 นิ้ว 32 นิ้ว และขนาด 40 นิ้ว

รุ่น PB1 (Power Booster) รุ่นนี้เป็นซีรีส์ของทีวี LCD TV ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ชอบดูโทรทัศน์แบบเสียงดัง ซึ่งจากการทำวิจัยพบว่าผู้บริโภคในประเทศอาเซียนหลายประเทศนิยมดูโทรทัศน์เสียงดัง ซึ่งรุ่นนี้จะสามารถปรับเสียงให้ดังได้ 20 วัตต์ อีกทั้งยังสามารถปรับขนาดภาพให้มีความคมชัดมากขึ้น ในพื้นที่ที่มีสัญญาณไม่ดีอีกด้วย รุ่นนี้มี 2 ขนาดคือ 24 นิ้ว และ 32 นิ้ว

“กลุ่มโทรทัศน์ Power TV นี้ เป็นไฮไลต์ที่จะมาเจาะตลาดชนชั้นกลางในอาเซียน ถือว่าเป็นเทคโนโลยีล่าสุดและรายแรกของโลก ในส่วนประเทศไทยนั้น เชื่อว่ากลุ่ม Power TV นี้จะสามารถทำให้ยอดขายในประเทศของ บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ มียอดขายเพิ่มขึ้น 2 เท่า และจะทำให้เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้มากกว่า 10%” ฮิเดโนริ มัสสุอิ กล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.